เพื่อไทย โต้บิ๊กตู่ อาบน้ำร้อนมาก่อนไม่เกี่ยว ซัดขึ้นภาษีตามอำเภอใจ แต่ใช้ฟุ่มเฟือย-ไร้วิสัยทัศน์

วันที่ 19 ต.ค. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายศุภชัย โพสุ รองประธานสภาฯคนที่ 2 เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 เป็นวันที่สาม โดยส.ส.ฝ่ายค้านลุกขึ้นอภิปรายตลอดครึ่งวันเช้า

น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย อภิปรายเป็นคนแรกว่า การจัดสรรงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 2 แสนล้านล้านบาท และตั้งเป้าการการจัดเก็บรายรับที่ 2.731 ล้านบาท สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่มีปัญหา

จึงขอเรียกร้องว่ารัฐบาลอย่าใช้มาตรการเก็บภาษีลักษณะรีดเลือดจากปู หรือขึ้นภาษีตามอำเภอใจ เพื่อรีดภาษีจากประชาชนและนำมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย จากการตั้งงบประมาณที่เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และพยายามสืบทอดอำนาจ เพราะเน้นการจัดสรรงบประมาณให้กับกระทรวงกลาโหม และมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานด้านความมั่นคงมากกว่า

ส่วนการจัดสรรให้กระทรวงที่พัฒนาศักยภาพของมนุษย์ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้รับงบประมาณ 3.6 แสนล้านบาท ลดลงกว่า 2 แสนล้านบาท รัฐบาลระบุว่าเพราะจัดสรรให้กับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แต่เมื่อนำงบประมาณของหน่วยงานที่โอนไปยังกระทรวงการอุดมศึกษาฯ พบว่ามีตัวเลขงบโดยรวมด้านการศึกษาลดลง 8,000 ล้านบาท

การจัดสรรงบประมาณที่ลดลง ไม่น่ากังวลเท่ากับการบริหารงบประมาณที่ขาดวิสัยทัศน์ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นในวงการด้านการศึกษา ยุค คสช.พบการเรียกรับเงินจากผู้ปกครองเข้าโรงเรียนใกล้บ้านที่เพิ่มมากขึ้น กรณีดังกล่าวตรวจสอบแล้วแต่เรื่องเงียบ เนื่องจากมีการทำเป็นกระบวนการและยังพบปัญหาล็อกสเปคแบบเรียน จากบุคคลใกล้ตัวของรัฐบาล ขอให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบด้วย

การที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อภิปรายเมื่อช่วงดึกวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมาว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนนั้น ตนเห็นว่าเกิดก่อนเกิดหลังไม่เกี่ยว อยู่ที่ว่าจะรับฟังส.ส.และเรียนรู้หรือไม่ เพราะเป็นการสะท้อนเสียงประชาชน หากปิดหู ต่อต้านหรือไม่รับฟัง จะทราบปัญหาที่แท้จริงได้อย่างไร

ขอถามท่านผู้นำว่าบริหารประเทศมา 5 ปี ไม่ละอายใจบ้างหรือ ที่บอกว่าจะคืนความสุขให้ประชาชน แต่เห็นชัดว่าบ้านเมืองเราย้อนหลังไป 30 ปี แสดงให้เห็นว่าการยึดอำนาจไปไม่ได้เป็นสิ่งดีให้กับประชาชน ปัญหาทุกอย่างยังวนเวียนอยู่ เหมือนกับนโยบายรัฐบาลปัจจุบันใช่หรือไม่ ที่ว่าจนยั่งยืน”น.ส.ธีรรัตน์ กล่าว

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ขณะที่ นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ ขอเรียกว่างบประมาณหอมหวานแบบคาหนังคาเขา ไม่รอบครอบ ไม่รัดกุม ไม่บูรณาการจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ไม่ร่วมมือกับนักวิชาการและประชาชน เพราะงบประมาณในส่วนของสิ่งแวดล้อม การป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งมีเพียงแค่ 775 บ้านบาท

ทั้งที่เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ บางโครงการบอกกับชาวบ้านว่าปรับปรุงภูมิทัศน์ แต่หลักๆ คือสร้างเขื่อน ทำให้ชายฝั่งหายไป และบริษัทหน้าเดิมๆ ที่เป็นผู้รับจ้างทำโครงการ

นายสันติ กีรนันท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายว่า ขอท้วงติงการจัดสรรงบประมาณในยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจัดสรรรวม 1.8 แสนล้านบาท ถือว่าน้อยเกินไป เพราะเป็นยุทธศาสตร์ที่เน้นการพัฒนาคน และเป็นเรื่องระยะยาว ทั้งนี้ ในการอภิปรายของสมาชิก ขอให้อย่ามองประเทศไทยในแง่ร้าย แต่ควรมองหาช่องทางเพื่อปรับปรุง

ทั้งนี้ ยอมรับว่าในประเด็นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประเทศ ที่น่ากลัว คือ ความมั่งคั่ง ที่มีคนรวย 20 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ ถือครองทรัพย์สินคิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของทรัพย์สินของประเทศทั้งหมด แต่ในทิศทางดังกล่าว จากงานวิจัยพบว่าความเหลื่อมล้ำดังกล่าวเริ่มมีทิศทางดีขึ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน