“อนุทิน” ชง ศบค.จับคู่บินข้ามประเทศ หลังสถานการณ์ โควิด ดีขึ้น ประเดิมให้นักธุรกิจก่อน เห็นด้วยเปิดสนามบินภูเก็ตตามข้อเรียกร้อง

เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 12 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนร่วมประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดการยกเลิกการประกาศห้ามประชาชนออกนอกเคหสถาน หรือเคอร์ฟิว เป็นเวลา 15 วัน ว่า รอให้ประชุม ศบค.ก่อน แต่แนวโน้มจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อถามว่ แนวโน้มที่ดีขึ้นถึงขั้นยกเลิกประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องรอถามนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตามมาตรการต่างๆ ที่เราทำมา ล้วนทำเพื่อลดการติดเชื้อภายในประเทศให้น้อยที่สุด ขณะนี้เราไม่มีติดเชื้อภายในประเทศ 17 วันแล้ว

ถ้าเป็นอย่างนี้ไปอีกนานเรื่อยๆ ก็ยิ่งดี แต่ขอว่าอย่าเพิ่งนำเรื่องนี้ไปโยงกับเรื่องพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะทุกอย่างที่ต้องตัดสินใจ ศบค.ต้องมั่นใจว่าประชาชนจะมีความปลอดภัยและประเทศไทยปลอดเชื้อ ถือเป็นเป้าหมายสำคัญ

ผู้สื่อข่าวถามว่าสถานการณ์ขณะนี้ไว้วางใจได้แล้วหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า สถานการณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีน เราทุกคนก็ยังต้องระมัดระวัง ทางที่ดีที่สุดทุกคนยังต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีข้อเรียกร้องให้เปิดสนามบินนานาชาติภูเก็ต มีความเป็นไปได้ในเร็วๆ นี้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตนจะนำเสนอในที่ประชุม ศบค.วันเดียวกันนี้ เพราะมีผู้ประกอบการท่องเที่ยว รวมทั้งหลายหลายฝ่ายเรียกร้องมา ส่วนตัวคิดว่าควรต้องเปิดได้แล้ว เพราะขณะที่สนามบินสุวรรณภูมิก็ยังเปิดให้บริการแล้วเช่นกัน

เมื่อถามย้ำว่าต้องการให้เปิดภายในเดือนนี้หรือเริ่มในเดือนกรกฎาคม นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องการให้เปิดเร็วที่สุด เนื่องจากขณะนี้ไม่มีการติดเชื้อภายในประเทศมาเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว อีกไม่กี่วันก็จะครบ 28 วัน เมื่อถึงเวลาดังกล่าวก็ถือว่ามีเหตุผลเพียงพอในการคลายล็อกต่างๆ

เมื่อถามว่าภาพรวมการเปิดการบินระหว่างประเทศจะสามารถเริ่มได้ในเดือนกรกฎาคมนี้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้ขอให้ใจเย็นๆ ขณะนี้มีความคิดที่จะให้มีการจับคู่เดินทางระหว่างประเทศ โดยประเทศของเราก็จะไปดูประเทศที่มีมาตรฐานในการควบคุมกลุ่มโรคที่อยู่ระดับเดียวกัน

หรือประเทศที่สามารถควบคุมการติดเชื้อได้ดี ลดการแพร่ระบาดไปได้มาก เป็นลักษณะทำความตกลงจับคู่กัน โดยประเทศทั้งสองฝ่ายจะต้องทำมาตรการในการคัดกรองผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศของตัวเอง ซึ่งวันเดียวกันนี้ตนจะเสนอรูปแบบดังกล่าวให้ที่ประชุม ศบค.และนายกรัฐมนตรีพิจารณา

เมื่อถามย้ำว่าจะเป็นลักษณะของแนวทางการเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวอย่างจำกัด หรือ Travel Bubble หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า มีแนวคิดเช่นนั้น แต่ขอย้ำว่าไม่ใช่การเปิดเดินทางโดยเสรี เพราะทั้งสองประเทศต้องมาหารือกันถึงมาตรการคัดกรองบุคคลที่จะเดินทางเข้ามายังประเทศ

ขณะนี้เอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ เสนอเรื่องนี้เข้ามา และตอบรับแนวคิดดังกล่าวด้วยเช่นกัน จะนำเสนอให้ที่ประชุม ศบค.พิจารณา ถ้าที่ประชุมให้ความเห็นชอบเราก็จะเดินหน้าเปิดเจรจากับประเทศต่างๆ ต่อไป

โดยอาจจะเริ่มต้นโดยให้ธุรกิจเข้ามาก่อน ส่วนนักท่องเที่ยวยังต้องรอขั้นตอนต่อไป ส่วนที่ยังพบผู้ติดเชื้อในสถานที่กักกันของรัฐนั้น ทั้งหมดก็เป็นคนไทยที่กลับจากต่างประเทศ เมื่อพบการติดเชื้อก็นำไปรักษาตัวทันที ไม่มีหลุดไปไหน

“ประเทศไทยจะอยู่แบบนี้ต่อไปคงไม่ได้ ต้องมีการปรับ ต้องทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ ธุรกิจต่างๆ ทำงานได้ ที่สำคัญที่สุดผู้ประกอบการและลูกจ้าง จึงต้องทำทุกอย่างแม้อาจจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อบ้าง แต่ถ้าเรายังมีระบบคัดกรองและระบบการรักษาที่ดี ก็มั่นใจได้ว่าเรายังสามารถคุมสถานการณ์ได้ จึงต้องพยายามคืนสู่สภาพปกติให้ได้เร็วที่สุด” นายอนุทิน กล่าว


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน