เพื่อไทย โต้ทร. แฉอีกพิรุธลงนาม ซื้อเรือดำน้ำ สวนจำนำข้าว ปชช.ได้ประโยชน์

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 25 ส.ค. ที่รัฐสภา นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ฯ พร้อมคณะ ร่วมแถลงชี้แจงกรณีกองทัพเรือออกมาชี้แจงถึงความจำเป็นในการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน มูลค่ากว่า 2.25 หมื่นล้านบาท พร้อมพาดพิงถึงพรรคเพื่อไทยและคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ฯจากพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่โหวตคัดค้าน

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า จากการที่ พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ สายงานกิจการพลเรือน และโฆษกกองทัพเรือ และคณะฯ แถลงถึงการจัดซื้อเรือดำน้ำ ความคุ้มค่าต่องบประมาณเมื่อวานนี้(24 ส.ค.) โดยระบุว่า การพูดของตน สร้างความเสียหาย ทำให้เกิดความแตกแยก เกลียดชัง และขอให้ประชาชนอย่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

ซึ่งสิ่งที่โฆษกกองทัพเรือพูดไม่เป็นความจริง ตนก็รักกองทัพเรือ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานปกป้องอธิปไตยของประเทศ การออกมาตั้งข้อสังเกตุการจัดซื้อเรือดำน้ำ2ลำ มูลค่า 2.25 หมื่นล้านบาทนั้น เป็นการทำหน้าที่ของส.ส.และกรรมาธิการฯ ที่จะต้องตรวจสอบ ซึ่งไม่เหมาะกับสถานการณ์ประเทศที่กำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ และการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ตนไม่ได้ต้องการที่จะทำให้คนเกลียดกองทัพเรือ

การที่กองทัพเรือระบุว่า งบประมาณ 2.25 หมื่นล้านบาทนั้นเป็นงบประมาณกองทัพเรือ ก็ไม่จริง แต่ล้วนมาจากเงินภาษีประชาชน ที่ตนคัดค้าน เป็นเพราะประเทศกำลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจและไวรัสโควิด รัฐบาลก็ไม่มีเงิน ไปกู้เงินมาจนเกือบเต็มเพดานการคลัง ถ้าหากนำเงินที่จะไปซื้อเรือดำน้ำ มาช่วยประชาชนที่กำลังอดอยากถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สำคัญมากกว่า

การที่กองทัพเรือบอกว่าการซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ไม่มีผลผูกพันธ์กับลำที่ 1 ที่ซื้อไปแล้วนั้น ที่เกรงว่าจะกระทบความสัมพันธ์ไทย-จีน ทั้งนี้ ไทยคุยกับจีนได้ เพราะตอนนี้เราประสบปัญหาทั้งด้านเศรษฐกิจ โควิด เชื่อว่าจีนก็คงเห็นใจและอะลุ่มอล่วยกันได้ โดยไม่มีปัญหาทางความสัมพันธ์

นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า การจัดซื้อที่มีการระบุว่าเป็นจีทูจี จริงหรือไม่นั้น ตนได้เรียกร้องตั้งแต่แรกแล้วว่า หากมีการมอบอำนาจให้ กองทัพเรือเป็นตัวแทนจริง จะต้องมีหนังสือ มอบอำนาจฉบับเต็ม หรือที่เรียกว่า Full Powers มาแสดง แต่ในการแถลงข่าวของกองทัพเรือกลับไม่มีการพูดเรื่องนี้และไม่ได้นำหนังสือดังกล่าวมาแสดง

หากย้อนไปดู คำพิพากษาศาลฎีกา เคยมีคำพิพากษา การจัดซื้อรถ เรือดับเพลิงของกทม. ที่ไทยจัดซื้อกับประเทศออสเตรีย ศาลเคยมีคำพิพากษา การจัดซื้อระหว่างจีทูจี ต้องเป็นระหว่างรัฐบาลจริงๆ ไม่ใช่กับตัวแทนหรือรัฐวิสาหกิจ

แม้ครม.มอบให้ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ เป็นตัวแทนรัฐบาลไทย ก็ไม่พบหนังสือมอบอำนาจจากทางไทย รวมทั้งในการไปลงนามของพล.ร.อ.ลือชัย ก็ไปลงนามกับ ประธานบริษัทไชน่า ชิปบิลดิ้ง แอนด์ออฟชอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (CSOC) ซึ่งหน่วยงานนี้ ก็ไม่ได้มีหนังสือรับมอบอำนาจจาก ประธานาธิบดีจีนหรือรัฐบาลจีน แต่อย่างใด

จากการตรวจสอบพบว่า หน่วยงานดังกล่าวคือ องค์การบริหารงานของรัฐด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ทางกองทัพเรือได้ไปร่วมลงนามด้วย รวมทั้งการไปเจรจาลงนามการซื้อขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีภาพถ่ายการจับมือระหว่างสององค์กรออกม

แตกต่างจากเอกสารเมื่อวันที่ 17พ.ย.2562 ที่พล.อ.ประยุทธ์ เคยลงนามบันทึกความเข้าใจกับ รมว.กลาโหมของจีน ว่าด้วยความร่วมมือการป้องกันประเทศ ก็ไม่ได้มีข้อตกลงเพื่อให้ซื้อเรือดำน้ำเลย เป็นเพียงข้อตกลงเพื่อการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพร่วมกัน

“ผมขอร้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และในฐานะที่ท่านเป็น รมว.กลาโหมด้วย กราบวิงวอนขอร้อง ท่านบอกกองทัพเรือให้หยุดเถอะครับ เพราะท่านสั่งกองทัพเรือได้ เห็นแก่ความเดือดร้อนพี่น้องประชาชนเถอะครับ

พวกผมเป็นส.ส.ต่างจังหวัด เรารู้ว่าคนจนเดือดร้อนขนาดไหนในเวลานี้ ขอเลื่อนไปก่อน เอาไว้ภาวะการเมืองการคลังมันดีกว่านี้ค่อยว่ากัน เพราะกองทัพเรือเขาไม่ฟัง ยังไงเขาต้องซื้อให้ได้ ผมเชื่อว่าปากท้องประชาชนมันด่วนกว่าผลประโยชน์ทางทะเล ซึ่งมันรอได้“

นายยุทธพงศ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการประชุมกรรมาธิการงบประมาณ วันที่ 26 ส.ค. เวลา 13.00 น. พรรคเพื่อไทยจะขอสู้ต่อ เพื่อนำไปสู่การเลื่อนหรือยกเลิกไปก่อน ทั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่เฉพาะเรือดำน้ำเท่านั้น

แต่ถ้ารวมเบ็ดเสร็จของกองทัพเรือ ประกอบด้วย เรือดำน้ำทั้งหมด 3 ลำ เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ที่สนับสุนติดตามอีก 1 ลำ การสร้างที่จอดเรือ ยังไม่นับการซ่อมบำรุง การดูแลรักษา ที่ต้องตั้งงบประมาณทุกปี เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 5 หมื่นล้านบาท

นายยุทธพงศ์ กล่าวอีกว่า ประเด็นที่มีข้อสงสัยในการประชุมอนุกรรมาธิการฯครุภัณฑ์ ที่มีนายสุพล ฟองงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุม ที่มีการล็อบบี้จากบุคคลภายนอก และมีการเรียกหาเทปบันทึกเสียงจากตนนั้น ก็ต้องบอกว่า ไม่มี

แต่เพื่อให้เกิดความสบายใจ ขอให้นายสุพล ทำหนังสือไปถึง บริษัทที่ให้บริการมือถือ เพื่อขอบันทึกการโทรเข้าโทรออก ในวันที่ 21 ส.ค. ซึ่งเป็นวันประชุมอนุกรรมาธิการฯกับกองทัพเรือ เรื่องเรือดำน้ำ ก็คงจะได้รู้ว่า มีเบอร์โทรศัพท์ใครโทรเข้า โทรออกมาบ้าง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหากตรวจสอบเป็นจีทูจีเก๊ จะดำเนินการอย่างไรต่อ นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า กรรมาธิการงบประมาณฯที่จะมีการประชุมในวันที่ 26 ส.ค. ที่ยกมือสนับสนุน จะต้องรับผิดชอบ โดยตนจะใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญมาตรา 75 นำเรื่องนี้ไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญให้ได้

ด้าน นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะอนุกมธ.ครุภัณฑ์ฯ กล่าวว่า ตนไม่คิดว่า กองทัพเรือจะขนกำลังพลออกมาเยอะขนาดนี้ และยังพยายามจะลากอนุกมธ.ไปสู่ผลทางการเมือง เสมือนว่า ถ้าใครคัดค้านเรือดำน้ำจะทำคนในชาติเกลียดกัน แต่ถ้าใครยกมือจะทำให้ประเทศปรองดอง

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องน่าเศร้าใจ เพราะไม่ใช่ว่า เราไม่เห็นด้วยกับการสร้างศักยภาพของกองทัพเรือเพื่อดูแลผลประโยชน์ของประเทศ แต่ในยามวิกฤตแบบนี้ แม้ในอนุกมธ.จะต่อรองให้ซื้อก่อนเพียง 1 ลำ กองทัพเรือก็ไม่ยอม อยากได้เรือดำน้ำตามที่ขอมาอย่างเดียว ทำเหมือนเด็กน้อยงอแง ร้องไห้กระทืบเท้า จะกินขนมให้ได้ แล้วพาลมาถึงพรรคเพื่อไทย ทั้งๆที่วันนี้ประเทศเจอสารพัดปัญหา แทบไม่มีเงิน ถังแตก และอาจจะต้องกู้เงินเพิ่ม บริบทแบบนี้ จึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

ตนเชื่อว่า ถ้าชะลอโครงการออกไปจีนจะเข้าใจ เพราะวิกฤตโควิด เกิดขึ้นจากบ้านเขา แล้วนำไปประเทศอื่นๆ ซึ่งที่ผ่านมาจีนในฐานะพี่เบิ้มใหญ่ เป็นตั่วเฮีย ที่นับตั้งแต่รัฐประหารเมื่อปี 2557 เราเอาใจเขาทุกเรื่อง การชะลอโครงการออกไปจีนด้วยเห็นแก่น้องคนนี้ จีนน่าจะเข้าใจ

จึงอยากขอให้พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมทั้งขุนพลสอพลอทั้งหลายเห็นแก่ความเดือดร้อนของประชาชน ช่วยทำให้กองทัพเรือชะลอโครงการออกไปก่อน ตนไม่คัดค้านอยู่แล้ว ถ้าเรารวยเมื่อไหร่จะซื้อมาจอดให้เต็มน่านน้ำ เอาให้ล้นเข้ามาถึงแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อให้เด็กๆดูเลยก็ยังได้

ขณะที่ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่กองทัพเรือพาดพิงมายังพรรคเพื่อไทยนั้น ยืนยันว่า เราไม่ได้นำเรื่องนี้มาเล่นการเมือง พรรคไม่ได้มีอคติ แต่การจัดซื้อเรือดำน้ำ เป็นการทำงานในคณะกมธ.งบประมาณฯ

โดยอนุกมธ.ได้ตรวจสอบหลักฐาน และคำชี้แจงที่กองทัพเรือในชั้นกมธ.งบประมาณ โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด

แต่เป็นเรื่องของสภาฯ เพราะกมธ.ไม่เห็นความสำคัญในการจัดซื้อ สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นสาธารณะ แต่กองทัพเรือต่างหากเป็นผู้เปิดประเด็นนี้ให้เป็นเรื่องการเมือง ด้วยการพาดพิงโครงการรับจำนำข้าวในอดีต ซึ่ง พรรคเพื่อไทยยืนยันว่า โครงการรับจำนำข้าว เป็นประโยชน์แก่ประชาชน แต่โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ ยังเป็นที่สงสัยอยู่ว่า จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้อย่างไร ในสถานการณ์ที่ประเทศมีปัญหาทางการเงินการคลังอยู่ในขณะนี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน