‘ประจิน’ สั่งดิจิทัลฯมอนิเตอร์ เว็บหมิ่นตลอด 24 ชั่วโมง เบื้องต้นพบแล้ว 60 เว็บไม่เหมาะสม ใช้อำนาจคสช.สั่งปิด และกำลังขออำนาจศาลดำเนินการ บิ๊กต๊อกแจงวุ่นกรณีมาตรการทางสังคม ยันห้ามทำร้ายร่างกาย ไม่เช่นนั้นก็กลายเป็นกฎหมู่ เผยส่งหนังสือถึงเอกอัครราชทูต 7 ประเทศ ขอความเห็นใจให้ส่งตัวคนหมิ่น 112 จำนวน 19 รายกลับประเทศ แต่ยอมรับไม่มีกฎหมายกำหนด แค่ขอความร่วมมือในฐานะมหามิตร บิ๊กป้อมขอประชาชนอย่าทำร้ายกันเอง ให้เป็นหน้าที่ตร. ไก่อูระบุนายกฯ ไม่สบายใจเห็นความขัดแย้ง วอนคนเห็นต่างได้ แต่อย่าแสดงออก ผบ.ตร.สั่งตร.ดูแลใกล้ชิด หากพบข้อพิพาทให้เรียกมาทำความเข้าใจ ที่ระยอง ชาวบ้านฮือล้อมร้านของชำ ล่าเจ้าของร้านหมิ่น เมียเผยป่วยโรคจิต ไม่กินยาจนกำเริบ

เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาคดีความมั่นคงในราชอาณาจักรหรือคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการกับผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า เมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา ตนได้ลงนามในหนังสือถึงเอกอัครราชทูต 7 ประเทศ โดยพบผู้เคลื่อนไหว 19 ราย โดยหนังสือดังกล่าวเขียนไปในลักษณะของการขอร้องให้เข้าใจถึงความรู้สึกของประชาชนคนไทย เป็นวาระที่เขาควรจะเข้าใจประเทศเรา ซึ่งบอกที่อยู่ของคนเหล่านั้นไปแล้ว ซึ่งเราก็ไม่ได้ไปละเมิดอธิปไตย และกฎหมายของเขา แต่ความเป็นเพื่อน ความเป็นมหามิตร ย่อมเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน แม้ท่านไม่มีกฎหมายที่จะดูแลเรื่องพวกนี้ ก็ควรกำกับดูแลควบคุมไม่ให้สิ่งเหล่านี้มา กระทบจิตใจของคนในประเทศเรา

ผู้สื่อข่าวถามว่าอยากให้อธิบายคำว่ามาตรการทางสังคม พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ขอเรียนว่าคนที่กระทำความผิด เจ้าหน้าที่บ้านเมืองดำเนินการตามกฎหมายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ตนพูด มาตรการทางสังคม คือมาตรการที่มาสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีทัศนคติ ความคิดเห็นที่แตกต่างเกี่ยวข้องกับสถาบัน แต่เราจะเห็นว่าการปรับแก้ทัศนคติไม่สามารถกระทำ ได้ มาตรการสังคมที่ออกมานั้นจะเป็นมาตรการเสริมมาตรการที่ใช้ได้ด้วยซ้ำไป คำว่า ‘มาตรการทางสังคม’ กับการใช้ ‘กฎหมู่’มันไม่เหมือนกัน

“ถ้าใช้กฎหมู่ก็เท่ากับผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ก็ต้องลงโทษคนที่ทำ เพราะคุณไม่มีสิทธิไปทำร้ายเขา แต่ถ้าเป็นมาตรการทางสังคม เป็นเรื่องที่บังคับให้คนทำตามระเบียบของสังคมและกฎหมาย ต้องแยกให้ชัด อย่างที่ถามเหตุการณ์ที่ภูเก็ต ก็ตอบในภาพรวม ไม่ใช่ไปเน้นเหตุการณ์ที่จ.ภูเก็ต วันนี้คนที่ออกมาก็ต้องคิดเหมือนกันว่าทำไมถึงได้รับการตอบโต้ในลักษณะนี้” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี รรท.รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับเว็บไซต์ไม่เหมาะสมว่า ศูนย์ปฏิบัติการด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของทั้งกระทรวงดีอียกระดับจากระดับสำนักงานขึ้นเป็นหน่วยงานระดับกอง คือกองป้องกันและปราบปรามการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ (ปท.) และจ้างคนเพิ่มขึ้นอีกรวมเป็น 100 คน เพื่อมอนิเตอร์ทุกช่องทางตลอด 24 ชั่วโมง พร้อม ประสานปอท. กสทช. และสมช. และยังมีศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่บริษัททีโอที จำกัด ตลอด 24 ชั่วโมง และขอความร่วมมือจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต

พล.อ.อ.ประจินกล่าวต่อว่า จากที่ตรวจสอบพบตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค. มีต้นทางที่เป็นเว็บไซต์หมิ่นสถาบัน 50-60 เว็บที่ตามอยู่ แต่จากจำนวนนี้จะมีเว็บที่เกี่ยวโยงไปอีก 5-6 เท่า ซึ่งเป็นเครือข่ายย่อย ปัจจุบันใช้อำนาจตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ฉบับที่ 26 ปิดกั้นเนื้อหาที่หมิ่นสถาบัน กระทบความมั่นคง การปลุกปั่นยุยง ส่งเสริมให้การเกิดแตกแยก ซึ่งสามารถปิดเว็บนั้นได้ทันที และขณะนี้ดำเนินการไปแล้วประมาณ 35% จากเว็บที่ตรวจสอบพบแล้ว

แต่ยังมีอีกบางส่วนต้องรวบรวมหลักฐานเพื่อเข้าสู่กระบวนการศาล ในการขอคำสั่งศาลแจ้งให้กับผู้ให้บริการดำเนินการปิดกั้นเนื้อหา ซึ่งใช้เวลาประมาณ 15 วัน แต่พยายามทำให้เร็วขึ้นกว่านี้ สำหรับเว็บหมิ่นมีทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยต่างประเทศได้มีการประสานติดต่อไปทั้งญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี และแจ้งว่าถ้ามีคำสั่งของศาลกลับมาก็จะปิดให้ ถือว่าเป็นแนวโน้มในทางบวก และที่ผ่านมาได้ส่งแจ้งไปจำนวนมากแล้ว

นอกจากนี้ ยังพบกรณีเข้าข่ายทั้งพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญาด้วย จึงขอความร่วมมือจากประชาชนอย่าตกเป็นเครื่องมือ ในการเผยแพร่ โดยอย่าได้กดไลก์ หรือแชร์ ซึ่งนอกจากเป็นการไม่บังควรแล้ว ยังเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายด้วย ทั้งนี้ ประชาชนที่พบเห็นให้แจ้งโทร.แจ้งสายด่วน 1212 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า กรณีมีบุคคลที่แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือโพสต์ข้อความผ่าน โซเชี่ยลมีเดียที่อาจเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ประชาชนไม่ควรเข้าไปดำเนินการ เข้าไปตอบโต้ หรือใช้ความรุนแรงกับบุคคลเหล่านี้ ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่จะดำเนินการด้านกฎหมาย เพราะบางกรณีอาจเป็นผู้ป่วยเกี่ยวกับสภาพจิต จึงควรให้เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการเอง เพื่อไม่ให้เกิดข้อขัดแย้ง

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กล่าวว่า สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกพื้นที่ดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการรวมกลุ่มขับไล่และทำร้ายร่างกายผู้ที่กระทำผิดมาตรา 112 หากพบเห็นให้ตำรวจเรียกทั้ง 2 ฝ่ายมาทำความเข้าใจ แต่หากไม่ได้ข้อยุติ หรือควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ให้บังคับใช้กฎหมายกับทั้ง 2 ฝ่ายทันที ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้มีการย้ำเตือนประชาชนไม่ให้ทำการกระทำที่หมิ่นเหม่สุ่มเสี่ยงอยู่ตลอด เพราะว่าตำรวจมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงเวลานี้ที่ทุกคนกำลังอยู่ในความโศกเศร้า ซึ่งตนเข้าใจว่าหากมีใครมาพูดจาพาดพิงบุคคลที่ตนเองรักก็จะเกิดความรู้สึก

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณี โซเชี่ยลมีเดียเผยแพร่ภาพการทำร้ายร่างกายผู้ที่แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อสถาบันว่า เวลานี้คนไทยทุกคนอยู่ในช่วงของการโศกเศร้าและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แต่มีบางคนที่ทำร้ายหัวใจคน ไทยจึงทำให้เกิดความไม่พอใจ ภาพของพฤติกรรมที่ทำร้ายหัวใจของคนไทยถือว่าไม่เหมาะสมแล้ว แต่คนโดยรอบที่เห็นสิ่งต่างๆ แล้วรุมทำร้ายยิ่งเป็นภาพที่ไม่งดงามยิ่งกว่า ดูแล้วเศร้าใจ

ด้วยเหตุนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงไม่สบายใจและขอให้คนไทยตระหนักเรื่องดังกล่าวและฝากไปถึงคนไทยว่า แม้จะรู้สึกอย่างไรก็ตามขอให้เก็บไว้ในใจ อย่าแสดงออกโดยไปขัดต่อความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ในประเทศ เพราะถือเป็นการทำร้ายหัวใจกัน ท้ายที่สุดสิ่งที่จะได้รับกลับมาคือการแสดงความไม่พอใจและการทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บ การคิดต่างจากคนอื่นไม่เป็นไร แต่อย่าแสดงออก เพราะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหาย

โฆษกประจำสำนักนายกฯกล่าวว่า ขอเตือนประชาชนที่พบเห็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อสถาบันขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจ ทหาร หรือฝ่ายความมั่นคงให้ดำเนินการตามกฎหมาย จะดูเป็นประเทศที่มีอารยะ และ นายกฯไม่ต้องการให้ภาพการทำร้ายกันของคนไทย เป็นสิ่งที่ทำให้ต่างชาติมองเราในแง่ที่ไม่ดี

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการทางสังคมที่มีต่อผู้รุนแรง และกดดันคนที่แต่งกายและแสดงออกไม่เหมาะสมว่า ตนยอมรับว่าเป็นห่วง ซึ่งนายกฯ ได้พูดไปแล้วว่าทุกคนมีความจงรักภักดี มีความรักและอาลัยอาวรณ์ แต่สภาพความพร้อมของทุกคนอาจไม่เท่ากัน จึงขอให้ทุกคนเข้าใจซึ่งกันและกัน ขออย่าไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะประเทศชาติต้องการความสงบเรียบร้อย ความราบรื่น ไม่อยากให้จุดเล็กๆ เพียงจุดเดียวสร้างปมด่างให้เกิดขึ้นในช่วงนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 18 ต.ค. ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ยุทธชัย โพธิ์รุ่ง รอง ผกก.(สืบสวน) สภ.เมืองระยอง รับแจ้งว่ามีกลุ่มชาวบ้านจำนวนมากบุกฮือเข้าไปปิดล้อมร้านขายของชำแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ้างว่ามีคนในร้านก่อเหตุหมิ่นเบื้องสูง

ที่เกิดเหตุพบชาวบ้านกลุ่มใหญ่ยืนปิดล้อมร้านขายของชำอยู่ ตะโกนต่อว่าและเรียกร้องให้ชายเจ้าของร้านอายุ 48 ปี ก้มกราบพระบรมฉายาลักษณ์ โดยใช้เวลาล้อมนานกว่า 3 ชั่วโมง ขณะที่ตร.แจ้งความข้อหา 112 ทั้งนี้ สอบสวนภรรยาให้การว่าสามีเป็นผู้ป่วยทางจิต มีใบนัดแพทย์ แต่ที่อาการกำเริบ เพราะไม่ได้กินยาตามแพทย์สั่ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน