“พิชัย” เตือน “ประยุทธ์” ห่วง ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลโควิดพุ่ง ซ้ำเติมภาระการคลัง แนะเตรียมหาทางรับมือ ทวงถามแผนฉีดวัคซีน วันละ 5 แสนโดส

วันนี้ (10 พ.ค.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ความมั่นใจผู้บริโภคอยู่ที่ 46.0 ต่ำที่สุดในรอบ 22 ปี 7 เดือน การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลใน 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ (ก.ย.-มี.ค) พลาดเป้าไป 122,545 ล้านบาท หรือ 10.7% และ ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ว่าแย่แล้วถึง 123,594 ล้านบาท หรือ ลดลง 10.8% อีกทั้งหนี้เสียในระบบธนาคารมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 4.68 แสนล้านบาทเมื่อสิ้นเดือนมีนาคมและน่าจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ

ปริมาณคนติดเชื้อไวรัสยังคงเพิ่มขึ้นกว่าวันละ 2,000 คนทุกวัน มีผู้ป่วยสะสม 54,412 คน มีคนเสียชีวิตจากไวรัสโควิดตั้งแต่เดือนเมษายนแล้ว 305 ราย และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ระบบสาธารณสุขล้มเหลวได้เพราะจะมีผู้ติดเชื้อล้นโรงพยาบาล และจะมีผู้ติดเชื้อรุนแรงล้นห้องไอซียู และรัฐบาลจะต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการดูแลรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อรุนแรงที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สูง ซึ่งจะเป็นภาระทางการคลังอย่างหนักซ้ำเติมภาวะการคลังที่ย่ำแย่อยู่แล้ว จึงอยากให้รัฐบาลได้เตรียมรับมือ

ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ทรุดหนักและสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างมากของไวรัสโควิด ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างมาก และยังเป็นปัญหาหนักของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐบาล ที่ยังไม่มีทิศทางที่จะแก้ไขได้ ความล้มเหลวในการบริหารจัดการวัคซีนยังเป็นปัญหาหลัก

แม้พลเอกประยุทธ์ จะประกาศว่าจะจัดหาวัคซีนเพิ่มเป็น 150 -200 ล้านโดสก็ไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้ เพราะประชาชนยังไม่ทราบเลยว่าวัคซีนดังกล่าวจะมาถึงเมื่อไหร่ และตนเองจะได้รับการฉีดเมื่อไหร่ จะกระจายการฉีดวัคซีนได้อย่างน้อยวันละ 5 แสนโดสได้อย่างไรเพื่อจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ทันสิ้นปีเพื่อจะเปิดประเทศและฟื้นเศรษฐกิจ อีกทั้งยังไม่แน่ใจในคุณภาพของวัคซีนที่เลือกเองไม่ได้

แม้กระทั่ง ครม. ที่ไปเที่ยวสถานอโคจรซึ่งเป็นสาเหตุของการแพร่ระบาดก็ยังไม่ได้รับการลงโทษ และสงสัยอีกว่าทำไมไม่ดำเนินการสั่งวัคซีนแต่แรก ต้องถูกตำหนิและมีปัญหาก่อนถึงคิดดำเนินการ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มาตลอด ที่ขาดวิสัยทัศน์ไม่เคยคิดล่วงหน้า ต้องถูกตำหนิอย่างรุนแรงเสียก่อนถึงจะคิดแก้ไข โดยประชาชนจำนวนมากได้แสดงความไม่พอใจและเข้าไปคอมเมนท์ต่อว่าพลเอกประยุทธ์อย่างมากในเพจพลเอกประยุทธ์ จนต้องปิดคอมเมนท์ในเพจของตัวเอง ซึ่งเท่ากับปิดหูปิดตาไม่ยอมรับรู้ความไม่พอใจของประชาชนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนั้น คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในคดีของนายธรรมนัส พรหมเผ่า รมช. เกษตร ยิ่งสร้างกระแสความไม่พอใจเป็นวงกว้าง ประชาชนอยากเห็นการปฏิรูปทางการเมืองแต่กลับได้รัฐมนตรีที่เคยมีคดียาเสพติดและเคยถูกจำคุกในต่างประเทศมาแล้ว แต่ก็ยังจะสามารถดำรงตำแหน่งได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าอับอายไปทั่วโลก โดยสื่อหลักต่างประเทศจำนวนมากได้เสนอข่าวว่าประเทศไทยอนุญาตให้คนที่เคยติดคุกเรื่องยาเสพติดสามารถดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีได้

ซึ่งอยากขอเตือนพลเอกประยุทธ์ว่า หากพลเอกประยุทธ์ยังคงให้นายธรรมนัสดำรงตำแหน่งอยู่ ความน่าเชื่อถือและความมั่นใจของประเทศไทยที่มีอยู่น้อยแล้วจะยิ่งตกต่ำลงไปอีกจนเป็นติดลบได้ ความคาดหวังที่จะฟื้นเศรษฐกิจจะเป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีประเทศไหนที่มีจริยธรรมในโลกจะยอมรับเรื่องนี้ได้ ไม่ต่างจากสมัยที่นายปาโบล เอสโกบาร์ราชายาเสพติดชาวโคลอมเบียลงเลือกตั้งและหวังจะเป็นผู้นำประเทศโคลอมเบีย ซึ่งถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากนานาชาติ ซึ่งในที่สุดรัฐบาลสหรัฐจึงต้องเข้าแทรกแซงและจัดการกับนายเอสโกบาร์ ซึ่งไม่คิดว่าประเทศไทยจะย้อนยุคไปเป็นเหมือนประเทศโคลอมเบียเมื่อ 30 ปีก่อนได้

และหากยังไม่ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ไทยก็จะไม่ต่างจากประเทศโคลอมเบียในอดีต ผสมกับภาพลักษณ์ของเผด็จการทหารของเมียนมาร์ที่พยายามจะสืบทอดอำนาจทุกวิถีทางอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งคงไม่มีใครจะมาคบค้าสมาคมด้วย และอย่าได้คาดหวังจะมีใครจะกล้ามาลงทุนในประเทศที่มีภาพลักษณ์ติดลบขนาดนี้ เศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่อยู่แล้วจะยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก ความคาดหวังที่จะฟื้นเศรษฐกิจได้คงไม่มีเหลือ ประชาชนจะยิ่งลำบากกันมากขึ้นไปอีก

อีกทั้ง การท่องเที่ยวก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยเพราะคงไม่มีนักท่องเที่ยวที่มีฐานะจากประเทศไหนที่จะอยากมาเที่ยวประเทศที่เขาไม่มั่นใจว่ามีจริยธรรมเพียงพอถึงขนาดที่นายกรัฐมนตรีจะอนุญาตให้คนที่เคยติดคุกจากคดียาเสพติดมาเป็นรัฐมนตรีร่วมบริหารประเทศได้ เพราะเขาน่าจะต้องห่วงความปลอดภัยของเขาและครอบครัว ซึ่งในต่างประเทศคดียาเสพติดและคดีฆาตกรรมมีความร้ายแรงไม่ต่างกันเลย

และที่สำคัญที่สุด กระแสความต้องการของคนรุ่นใหม่ของไทยที่ต้องการย้ายประเทศ เพราะผิดหวังจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ตลอด 7 ปี และการขาดวิสัยทัศน์ของผู้นำ ได้มีผู้เข้าร่วมเพจเพิ่มมากขึ้นเป็นประมาณล้านคนแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่มีการศึกษาสูง ฉลาด และเก่ง มีความสามารถเฉพาะทาง จะยิ่งมีกระแสความต้องการจะย้ายไปประเทศอื่นเพิ่มมากขึ้น จากเรื่องของรัฐมนตรีที่เคยมีคดียาเสพติดนี้

ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากและจะมองข้ามไม่ได้ เพราะหากคนไทยที่ฉลาดและเก่ง ย้ายออกจากประเทศมากๆ ประเทศไทยจะหมดอนาคต ซึ่งหากมองประเทศที่ประชาชนอยากย้ายออกในอดีต เช่น หลายประเทศในอเมริกาใต้ ประเทศเม็กซิโก ประเทศพม่า ประเทศฟิลิปปินส์ในอดีต ประเทศกัมพูชาในอดีต ฯลฯ ประเทศเหล่านี้จะมีการพัฒนาที่ต่ำมาก เพราะเกิดสมองไหล คนฉลาดคนเก่งหนีไปทำงวนประเทศอื่นหมด ซึ่งแนวคิดนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ตนเคยเสนอมาโดยตลอดคือการเปิดประเทศให้คนฉลาดและคนเก่งๆ จากประเทศอื่นๆ ให้เข้ามาเป็นคนไทยให้สัญชาติไทยเลย เพื่อช่วยพัฒนาประเทศ

ซึ่งตรงกับแนวคิดของนายธนินท์ เจียรวนนท์ อภิมหาเศรษฐีของไทยที่เพิ่งออกมาเสนอแนวคิดนี้เหมือนกันเมื่อไม่นานมานี้ เพราะเห็นตรงกันว่าในโลกยุคใหม่ คนเก่งหนึ่งคนจะสามารถเปลี่ยนแปลงและสร้างประโยชน์ให้กับประเทศได้อย่างมหาศาล ทั้งการสร้างเศรษฐกิจใหม่ การสร้างงาน และการสร้างเงิน เช่น นายอีลอน มาสก์ นายมาร์ก ซัคเคอเบิร์ก นายแจ็ก หม่า เป็นต้น แต่ถ้ากลับกันประเทศไทยกลับจะต้องสูญเสียคนฉลาดและคนเก่งไปให้ประเทศอื่น โอกาสการพัฒนาของไทยก็จะหายไปด้วย

โดยประเทศไทยจึงมีความจำเป็นต้องมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และสามารถสร้างความมั่นใจดึงดูดคนฉลาดและคนเก่งให้อยู่ในประเทศต่อไป ส่งเสริมให้พวกเขาพัฒนาและประสพความสำเร็จมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในอนาคตประเทศไทยจะต้องเปิดรับคนฉลาดคนเก่งเข้ามาในประเทศไทยให้มากๆ เพื่อพัฒนาประเทศในยุคใหม่ต่อไปทำให้ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของคนฉลาดและคนเก่งของภูมิภาค

ในภาวะที่เศรษฐกิจทรุดหนัก การระบาดของไวรัสยังรุนแรง ความเชื่อมั่นของรัฐบาลเสื่อมถอยหนักในทุกด้าน ประเทศจำเป็นจะต้องมีผู้นำคนใหม่ที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง และกล้าตัดสินใจ อีกทั้งยังต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งคนในประเทศและต่างประเทศได้ พร้อมทั้งต้องมีแนวคิดที่ทันสมัยไม่ยึดติดกับกรอบคิดเดิมๆ จึงจะสามารถนำพาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน