ส.ส.พรรคก้าวไกล อัด รบ.จัดงบประมาณ ประจำปี 2565 ไร้สามัญสำนึก ไม่ถูกกาลเทศ ไม่เห็นหัวประชาชน เปรียบเหมือนลูกทรพี ตื๊อซื้อของเล่น เหน็บ “ประยุทธ์” อยู่ 7 ปี ได้แค่คลองโอ่งอ่าง ถามกลับงบกองทัพเยอะกว่า สาธารณสุข จะไปรบกับใคร ทำไมไม่เอาไปแก้โควิด

เมื่อวันที่ 31 พ.ค.เวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1ล้านล้านบาท วาระแรก

ต่อมาเวลา 12.23 น. นายวิโรจน์ ลักษณาอดิศร ส.ส.บัญชีราชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายว่า ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกเมื่อวันที่ 13 ม.ค.63 และเป็นรายแรกที่พบนอกประเทศจีน เปิดการระบาดระลอกแรกที่สนามมวยลุมพีนี อยู่ในปีงบประมาณ 63 ระลอกสองที่ตลาดกลางกุ้งและระลอกสามที่ทองหล่อ อยู่ในปีงบประมาณ 2564 และนับแต่วันที่พบผู้ติดเชื้อรายแรกจนถึงวันนี้ รัฐบาลมีเวลาเตรียมรับมือกับสถานการณ์โควิด ถึง 1 ปี 4 เดือน 18 วัน

ผ่านมาแล้วถึง 2 ปีงบประมาณ พร้อมกับเงินกู้ก้อนมหาศาลอีก 1 ล้านล้านบาท มีการกันงบฯเอาไว้สำหรับงบด้านสาธารณสุขถึง 45,000 ล้านบาท แต่กลับเบิกจ่ายไปได้เพียง 7,103 ล้านบาท เครื่องช่วยหายใจที่ของบเอาไว้ ก็ยังไม่ได้ซื้อ งบเตรียมความพร้อมของสถานพยาบาล ก็ยังไม่ได้ใช้กับชีวิตของประชาชน รัฐบาลเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นกันแบบนี้หรือ

หากนับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. ที่เป็นวันเริ่มต้นการระบาดระลอกที่ 3 จนถึงวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา มีประชาชนตายเพราะโควิดไปแล้วรวมกัน 1,012 ราย ถ้านับเฉพาะตั้งแต่เดือนเม.ย. เป็นต้นมา ตายไปถึง 877 คน หลายคนต้องมาตายคาบ้าน หลายรายต้องเอาชีวิตมาสังเวยก่อนที่ผลตรวจจะออก เพราะพวกเขาต้องรอคิวตรวจ รอผลตรวจ รอเตียง และรอยา สุดท้าย คือ รอความตาย

“ขนาดแค่การใช้เงิน รัฐบาลชุดนี้ ยังไม่มีสามัญสำนึก จัดลำดับความสำคัญไม่เป็น ไม่รู้ว่าอะไรควรเร่งด่วน อะไรควรชะลอ อะไรควรจ่าย อะไรไม่ควรจ่าย ถ้าจำกันได้งบประมาณปีก่อน กว่าจะตัดงบเรือดำน้ำได้ ยากเย็นแสนสาหัส ยานเกราะล้อยาง สุดท้ายก็เอาจนได้ กางเกงใน ถุงเท้า ราคาแพงเป็น 3 เท่า ถามกันต่อหน้าว่าจะซื้อมาใส่ หรือจะซื้อมากิน ก็ยังดึงดันจะซื้อ สภาพของประเทศในทุกวันนี้ เปรียบเหมือนบ้านที่พ่อแม่มาล้มป่วย ตกงาน แต่ลูกทรพีก็ยังจะตื๊อซื้อของเล่นให้ได้” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า งบฯ 65 ประชาชนไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เขาแค่ต้องการเห็นงบประมาณที่มีสามัญสำนึก ที่รู้ว่าอะไรควรจ่าย อะไรไม่ควรจ่าย รัฐบาลที่มีสามัญสำนึกเท่านั้น ถึงจะสามารถจัดทำงบประมาณที่มีสามัญสำนึกได้ แต่ที่ผ่านมาการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลนี้ ไม่เคยมีจิตสามัญสำนึก มีแต่รู้ทั้งรู้ ก็ยังจะทำ มีแต่เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย จนทำให้ประชาชนเจ็บป่วยล้มตายไปเรื่อยๆ

อย่างการจัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ค่าใช้จ่ายที่ถูกที่สุด ก็คือ ค่าใช้จ่ายในการป้องกัน ราคาวัคซีนแอสตราเซเนกา เข็มละ 120 บาท 2 เข็ม ก็ 240 บาท แต่ไม่ฉีด กลับปล่อยให้เกิดการระบาด ลำพังแค่ค่าตรวจ RT-PCR ก็ปาเข้าไป 3,000 บาทแล้ว พอตรวจช้า ไม่ตรวจเชิงรุก รอคิวตรวจ รอผลตรวจ คนป่วยกว่าจะมาหาหมอ ก็มีอาการหนัก ต้องจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ 1 คน ต้องกิน 50 เม็ด เม็ดละ 120 บาท ต้องจ่ายค่ายา 6,000 บาท วัคซีน 240 บาทก็ไม่จ่าย สุดท้ายต้องจ่ายค่าตรวจ 3,000 พอตรวจช้าเจอช้า ต้องจ่ายค่ายาอีก 6,000 พอจ่ายยาช้า ต้องจ่ายค่าห้องไอซียูเบาะๆ คืนละ 5,000-6,000 บาท อยู่กี่คืนก็คูณไป เห็นจะประหยัดอยู่อย่างเดียว ก็คือ ค่างานศพ เพราะถ้าตายด้วยโควิด สวดแค่คืนเดียวแล้วก็เผาเลย

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลเลิกสื่อสารในทำนองแดกดันประชาชนที่เขาอยากจะเลือกฉีดวัคซีนได้แล้ว พอประชาชนอยากจะฉีดไฟเซอร์ ก็ไปตอบโต้ประชาชน ในทำนองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร อย่าไปเลือกฉีดวัคซีนเลย ช่วงแรกตนหลงคิดว่าไฟเซอร์เข็มละเป็นหมื่นบาท ที่ไหนได้ เข็มละ 600 บาท 2 เข็ม 1,200 บาท ต่อให้ฉีดให้ประชาชนทั้งประเทศ 67 ล้านคน ก็แค่ 80,000 ล้านบาท ทั้งที่ซิโนแวก ไม่ใช่ว่าราคาถูก ตกเข็มละ 549 บาท ถูกกว่าไฟเซอร์ 51 บาท

นอกจากนี้ซีอีโอไฟเซอร์ ออกมาเปิดเผยว่า ถ้าประเทศรายได้ปานกลางมาขอซื้อ ก็จะลดราคาให้ด้วย ถ้าได้ราคาเท่ากับโคลัมเบียที่เข็มละ 372 บาท ก็ใช้งบแค่ 50,000 ล้านบาท ถ้าฉีดแอสตราเซเนกาเข็มละ 120 บาท 2 เข็ม 240 บาท ก็แค่ 16,000 ล้านบาท งบฉีดวัคซีน ควรต้องเร่งจ่าย แต่รัฐบาลนี้ไม่จ่าย แล้วคุ้มกับความเสียหายทางเศรษฐกิจ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ รู้ดีว่ามีมูลค่าสูงถึง 2.5 แสนล้านบาทต่อเดือนหรือไม่ คนที่ใช้จ่ายแบบนี้มีสามัญสำนึกหรือไม่

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ถ้านับเฉพาะเงินเยียวยา จ่ายไปเท่าไหร่แล้ว เราไม่ทิ้งกัน 390,000 ล้านบาท เราชนะ 210,000 ล้านบาท เรารักกัน 37,100 ล้านบาท พอการระบาดระลอกที่ 3 เกิดขึ้นต้องเพิ่มงบให้เราชนะ เรารักกันอีก 85,500 ล้านบาท เรารักกัน เราชนะ วันนี้มีใครเขาไปรักกับคุณ รวมๆ แล้ว วันนี้เยียวยาไปแล้วกว่า 700,000 ล้านบาท วัคซีนแค่ 16,000 ล้านบาท ไม่จ่าย ต่อให้ฉีดไฟเซอร์ก็แค่ 80,000 ล้านบาท แต่ก็ไม่จ่าย สุดท้ายต้องจ่ายเยียวยา 700,000 ล้านบาท อย่างนี้ เรียกว่ามีสามัญสำนึกหรือไม่ งบประมาณในการป้องกันการแพร่ระบาดโควิดในเรือนจำ 142 แห่งทั่วประเทศ ปี64 กำหนดเอาไว้แค่ 750,000 บาท เฉลี่ยแล้วเรือนจำแต่ละแห่ง มีงบในการป้องกันการแพร่ระบาด เพียงแค่ 5,300 บาทต่อปี หรือเดือนละ 440 บาท

“สถานการณ์บ้านเมืองวันนี้ อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ประชาชนอยู่ท่ามกลางความเป็นความตาย ไม่รู้ว่าจะได้วัคซีน หรือฟอร์มาลีนก่อนกัน คนทำมาค้าขาย เอสเอ็มอี ยิ่งทำก็ยิ่งมีแต่หนี้ มีแต่เจ๊ง มีคนตกงานไปแล้วถึง 6 ล้านคน นักศึกษาจบใหม่ 1.3 ล้านคนเคว้งหางานทำไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่มา 7 ปี เห็นมีแต่คลองโอ่งอ่าง กับบัตรคนจน การจัดทำงบปี65 ไม่ต้องให้สอน รัฐบาลก็พึงต้องรู้อยู่แล้วว่าต้องจัดทำโดยสังวรณ์ และต้องคำนึงถึงหัวอกของประชาชน พยายามทำให้การใช้จ่ายสอดรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค งบปี65 ฉบับนี้ รัฐบาลแกล้งไปทำตัวเลขให้ภาพรวมลด แต่พอไปเจาะไส้ใน กลับซุกซ่อนโครงการที่น่าละอาย อยู่เต็มไปหมด” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวว่า กรณีกองทัพบก ในปี 65 ภาพรวมมีการปรับลดงบประมาณลง 6,603 ล้านบาท ดูเหมือนจะดี แต่พอเจาะเข้าไปดูในรายละเอียด อย่างโครงการเสริมสร้าง จัดหายุทโธปกรณ์ ปี 64 มีงบอยู่ที่ 3,132 ล้านบาท พอมาปี 65 กลับงอกเพิ่มขึ้นมา 1,805 ล้านบาท เป็น 4,937 ล้านบาท กองทัพเรือ ภาพรวมในปี 65 ปรับลดลง 1,130 ล้านบาท แต่พอเจาะเข้าไปดูโครงการเสริมสร้าง จัดหายุทโธปกรณ์ ก็มีพฤติกรรมเดียวกัน ปี 64 มีงบอยู่ที่ 533 ล้านบาท พอมา ปี 65 ถูกปรับเพิ่มขึ้น 873 ล้านบาท งอกมาเป็น 1,406 ล้านบาท เมื่อรวมกันแล้ว เพิ่มขึ้นถึง 2,678 ล้านบาท

ถ้าทั้งกองทัพบก และกองทัพเรือ จะเห็นแก่ประชาชน ควรนำเงิน 2,678 ล้านบาทนี้ ไปซื้อวัคซีนไฟเซอร์ ก็จะซื้อได้ 4.4 ล้านโดส ฉีดให้กับประชาชนได้ 2.2 ล้านคน ถ้าซื้อแอสตราเซเนกา จะซื้อได้ 22 ล้านโดส ฉีดให้กับประชาชนได้ 11 ล้านคน เอาไปใช้ตรวจ RT-PCR เพื่อตรวจการติดเชื้อ ก็จะตรวจให้กับประชาชนได้ถึง 1 ล้านคน ซื้อชุด PAPR ให้คุณหมอ ได้ถึง 300,000 ชุด เอาไปซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ได้ 22 ล้านเม็ด สามารถเอามาช่วยชีวิตประชาชนที่หายใจเหนื่อยหอบอยู่ตรงหน้าได้ถึง 446,000 คน

งบประมาณ ที่อ้างว่าปรับลดลงแล้ว ไม่ใช่ว่าดีแล้ว ถ้าปรับลดแล้ว ถ้ายังมีงบที่ไม่ถูกกาลเทศะซุกซ่อนอยู่ ก็ต้องปรับลดลงอีก ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าประชาชนขาดวัคซีน ขาดเตียง ขาดยา ขาดเครื่องช่วยหายใจ ไม่ได้ขาดปืนใหญ่ ขาดรถถัง ขาดรถยานเกราะ ขาดอาวุธสงคราม อยากถามว่า ถ้าไม่ซื้ออาวุธกันสักปี มันจะชักดิ้นชักงอกันหรืออย่างไร

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ส่วนกระทรวงสาธารณสุข เป็นกระทรวงกลไกสำคัญในการควบคุมโควิด และเป็นหน่วยงานที่ประชาชนคนไทยทั้ง 67 ล้านคนฝากชีวิตเอาไว้ เมื่อมาดูงบประมาณกรมควบคุมโรค ที่ได้งบเพียง 3,565 ล้านบาท ในขณะที่งบปี 64 อยู่ที่ 4,044 ล้านบาท ลดลง 479 ล้าน คิดเป็น 11.8% พอนำไปเทียบกับงบปี 62 ที่ยังไม่เจอกับโควิด ในปีนั้น กรมควบคุมโรค ได้รับงบประมาณอยู่ที่ 4,036 ล้านบาท

คือ งบปี 65 ที่กรมควบคุมโรค ต้องไปสู้กับโควิด ซึ่งเป็นโรคระบาดระดับโลก แต่งบกลับน้อยกว่าปี 62 ที่ยังไม่เจอกับโควิด ถึง 470 ล้านบาท นี่มันเป็นการจัดงบประมาณที่ไร้สามัญสำนึกที่สุดแล้ว เหมือนใช้เขาไปรบ แต่กลับไปยึดอาวุธเขา ตนจึงไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมบุคลากรทางการแพทย์ และข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข ถึงได้รู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ และส่งข้อความด่า ศบค. ให้อ่าน ได้ทุกวี่ทุกวัน

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า งบการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาสในปี 64 มีอยู่ท604 ล้านบาท เพื่อดูแลเด็กด้อยโอกาส 33,528 คน ในปี 65 ด้วยสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นจากโควิด ทำให้มีเด็กด้อยโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 34,005 คน เด็กด้อยโอกาสเพิ่ม แทนที่จะเพิ่มงบ กลับถูกตัดงบไป 72 ล้าน เหลืองบอยู่ที่ 532 ล้านบาท ในปี 62 ที่ไม่มีโควิด งบการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส อยู่ที่ 663 ล้านบาท ในปีนั้น เฉลี่ยแล้วเด็กด้อยโอกาส 1 คน จะได้รับงบประมาณ 18,438 บาท ปี 65 ต้องเผชิญหน้ากับความเหลื่อมล้ำที่รุนแรง กลับมีงบแค่ 532 ล้าน เฉลี่ยแล้ว เด็กด้อยโอกาส เหลืองบอยู่เพียงคนละ 15,657 บาท ลดลงคนละ 2,781 บาท ส่วนงบด้านการป้องกันประเทศ ถูกปรับลดลง 10,383 ล้านบาท คิดเป็น 4.9%

แต่งบสาธารณสุข และงบการศึกษา กลับถูกปรับลดลงมากกว่า งบสาธารณสุขที่จำเป็นมากๆ ต่อชีวิตของประชาชนกลับถูกปรับลดลงถึง 37,207 ล้านบาท คิดเป็น 10.8% งบการศึกษา ที่เป็นงบของอนาคตของประชาชน ถูกปรับลดลงถึง 26,524 ล้านบาท คิดเป็น 5.5% ประเทศที่ไม่ป้องกันชีวิตของประชาชน ไม่ให้ความสำคัญกับอนาคตของประชาชน แล้วจะป้องกันประเทศแบบนี้ไปเพื่ออะไร

“งบปี 65 ภายใต้นายกรัฐมนตรีที่ไร้สามัญสำนึก อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นงบประมาณที่ไม่คำนึงถึงชีวิตของประชาชน ไม่มีความหวังให้กับอนาคตของชาติ ในสถานการณ์ที่ประชาชนต้องเผชิญกับความยากลำบาก ยังกล้าซุกซ่อนไปให้งบที่ไร้กาละเทศะ ไม่เห็นหัวประชาชนอยู่เต็มไปหมด เป็นงบประมาณที่ไร้สามัญสำนึก พรรคก้าวไกลขอยืนยันว่า ไม่อาจที่จะรับได้ และขอเรียกร้องรัฐบาลที่ไร้จิตสำนึกชุดนี้ ลาออกไป อย่ามาอ้างว่า สถานการณ์ที่ถูกรุมเร้าด้วยปัญหา ไม่ควรจะเปลี่ยนม้ากลางศึก ขอแนะนำให้ลองก้มลงไปดูก่อน ถ้ารู้แน่ๆ ว่าที่ขี่อยู่ไม่ใช่ม้า ถ้าเปลี่ยนเป็นม้าได้เมื่อไหร่ก็คุ้ม”นายวิโจรจน์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน