จิราพร แฉ บริษัทหลานชาย บิ๊กตู่ ส่อฮั้วประมูลโครงการรัฐ จวก ลูกไม้หล่นไม่ไกลค่าย จี้ ก่อนลงจากตำแหน่ง ให้เอาคดีหลานตัวเองมาทำให้คนไทยสิ้นสงสัย

เมื่อเวลา 14.25 น. วันที่ 15 ก.พ. 2566 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายกรณีหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เปิดธุรกิจส่วนตัวในค่ายทหาร เพื่อรับเหมาก่อสร้าง ว่า การที่หลานชายพล.อ.ประยุทธ์ ใช้ค่ายทหารเปิดธุรกิจ อาจเป็นพฤติกรรมเลียนแบบ เพราะลุงอยู่บ้านหลวงไม่ยอมย้ายออกมา หลังพ้นจากตำแหน่งก็ไม่ยอมย้ายออก เหมือนสำนวนไทยที่บอกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แต่นี่เรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลค่าย

โดยหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ หากินกับธุรกิจกองทัพตั้งแต่ปี 2559 ที่มีเสียงวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสมถึงการทำธุรกิจส่วนตัว และยังได้รับงานประมูลของรัฐในวงเงินที่สูง แต่หลังจากที่ทนเสียงวิจารณ์ไม่ไหว จึงตัดสินใจย้ายออกจากค่าย เพื่อให้พ้นข้อครหา แต่ก็ยังเดินหน้ารับงานประมูลของรัฐต่อเนื่อง ซึ่งห้างหุ้นส่วนดังกล่าว มีสิ่งน่าสงสัยอยู่หลายประการ จากการตรวจสอบในปี 2555-2556 มีผลประกอบการต่อเนื่องตลอด แต่ในปี 2557 กลับเริ่มได้รับโครงการรัฐที่มีมูลค่าสูง ซึ่งเป็นช่วงที่พล.อ.ประยุทธ์ ทำการรัฐประหาร

น.ส.จิราพร กล่าวต่อว่า จากสถานะบริษัทที่ขาดทุน กลับชนะการประมูลรัฐ 3 โครงการ มูลค่า 28 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการของกองทัพทั้งหมด และยังได้งานของรัฐต่อเนื่องตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นงานในพื้นที่ จ.พิษณุโลก และจังหวัดใกล้เคียง เป็นเขตรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 พูดง่ายๆ เป็นเขตอิทธิพลพ่อ บารมีลุง

ทั้งนี้ ตั้งแต่บริษัทของหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ เริ่มได้รับโครงการรัฐ และเป็นคู่สัญญากับรัฐ 28 ล้านบาท ขณะนั้นบริษัทมีทุนจดทะเบียนอยู่แค่ 1.5 ล้านบาท ซึ่งทุนจดทะเบียนจะเป็นหลักประกันแสดงสถานะทางการเงิน และความน่าเชื่อถือของบริษัท หากเกิดการฟ้องร้อง และบริษัทต้องชดใช้ค่าเสียหาย ฉะนั้น ทุนจดทะเบียนที่สูงย่อมแสดงศักยภาพการชำระหนี้ได้มากกว่า แต่ทุนจดทะเบียนครั้งนั้นเพิ่งเริ่มทำธุรกิจเอาแบงก์ที่ไหนการันตี หากตอบไม่ได้แสดงว่าการได้งานครั้งนั้นก็เพราะนามสกุลจันทร์โอชามากกว่า

น.ส.จิราพร กล่าวว่า ต่อมาในปี 2557 บริษัทของหลายชายพล.อ.ประยุทธ์ ได้ประมูลงานรัฐรวมกว่า 10 ล้านบาท แต่ตรวจสอบพบว่ามีเครื่องมือเครื่องใช้ก่อสร้างเพียงแค่ 13 รายการ มูลค่า 385,574.71 บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือการช่างทั่วไป ไม่มีรายการที่จะสามารถรับงานขนาดใหญ่ได้ หากเป็นการเช่าครั้งคราวก็พอเข้าใจได้ แต่ผ่านมา 8 ปีแล้วจะเช่าตลอดเลยหรือ

“ฉะนั้น พฤติกรรมของบริษัท จึงเป็นเหมือนบริษัทที่ประมูลงานได้แล้วไปขายงานต่อมากกว่าที่จะดำเนินการเอง สถานการณ์เช่นนี้อาจเป็นไปได้ว่ามีเครื่องจัดหนักอำนาจลุง อำนาจพ่อ ที่คอยจัดหนักให้หลานหรือไม่ จึงสามารถประมูลงานในกองทัพได้โดยไม่มีเครื่องมือที่เพียงพอ” น.ส.จิราพร กล่าว

น.ส.จิราพร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัทของหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ ย้ายออกจากค่ายทหาร ก็ออกมาตั้งสำนักงานใหญ่ข้างนอก ซึ่งมีลักษณะของบ้านธรรมดา ภายในบ้านพบรถยนต์ และรถส่งของรับจ้างจอดอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีงานหลักรับเหมาก่อสร้าง แต่มีอาชีพเสริมคือขับรถรับจ้างส่งของ หากลองตรวจสอบดูให้ดี กรรมการบริษัทอาจจะมีชื่อเป็นคนขับรถรับจ้างส่งของ จึงยิ่งเป็นที่น่าสงสัยมากขึ้น ว่าจะมีการฮั้วประมูลโครงการรัฐหรือไม่








Advertisement

จากการตรวจสอบบริษัทคู่แข่งบริษัทหลานชายพล.อ.ประยุทธ์แล้ว สภาพบริษัททุกแห่งล้วนแล้วทรงอย่างแบด ชนะอย่างบ่อย เป็นบริษัทที่ไม่ได้ใช้ในการรับงานระดับสิบล้านบาทได้เลย มีลักษณะเป็นแค่นอมอนี เพื่อให้บริษัทของหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ ชนะการประมูล แม้จะมีโครงการที่บริษัทหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ชนะการประมูล แต่หากเทียบแล้วก็พบว่าบริษัทที่เข้าแข่งล้วนเป็นหน้าเดิม ซึ่งส่วนต่างของบริษัทที่แพ้ต่างกันแค่ 1% ทุกครั้ง

น.ส.จิราพร กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังมีโครงการที่ดูผิดวิสัย คือโครงการงานก่อสร้างอาคารชุดนายทหารชั้นประทวน 48 ครอบครัว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ของกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ กรุงเทพมหานคร มูลค่ากว่า 47 ล้านบาท ซึ่งหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ ก็ขอซื้อซองประมูลด้วย และมีอีกบริษัทที่ขอซื้อซองประมูล แต่เมื่อเปิดประมูลกลับมีแค่บริษัทของหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ ประมูลเพียงบริษัทเดียว ทำไมอีกบริษัทจึงไม่เข้าประมูลต่อ ทั้งที่มีศักยภาพมากกว่า มีอิทธิพลอะไรห้ามไว้หรือไม่

น.ส.จิราพร กล่าวว่า ที่ผ่านมาเรามักจับตาดู 3 ป.ที่อยู่ในรัฐบาลว่าใหญ่โตกันมาก แต่จริงๆ ยังมีอีก 3 ป.ที่ใหญ่โต และส่อว่ามีอิทธิพลไม่แพ้กัน คือ ป.ประยุทธ์ ป.ปรีชา และป.ปฐมพงษ์ 3 ป.ในรัฐบาลยังแยกกันเดินแล้ว แต่ 3 ป.นี้ยังรวมกันเดินอยู่ พฤติกรรมหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ ส่อว่าฮั้วประมูลไม่พอ ยังมีพฤติกรรมส่อตกแต่งบัญชี เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี แม้บริษัทนี้จะรับงานรัฐมาหลายล้านบาท แต่สถานะของบริษัทก็ยังขาดทุน ซึ่งมีความแปลกประหลาดและผิดปกติ

ทั้งนี้ หลังจากที่ย้ายบริษัทออกมาจากค่ายทหาร ค่าน้ำค่าไฟก็ลดลงด้วย ปีหนึ่งใช้ไฟแค่พันกว่าบาท เป็นไปได้อย่างไร อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ สั่งการไปตรวจสอบเพิ่มขึ้นอีก เพราะพฤติการณ์เหล่านี้เข้าข่ายการตกแต่งบัญชี เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน หากเป็นธุรกิจคนอื่นคงต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นไปแล้ว

น.ส.จิราพร กล่าวว่า การที่หลานชายพล.อ.ประยุทธ์ ได้งานจากรัฐ เข้าข่ายเป็นการฮั้วประมูล เป็นการทุจริตอย่างร้ายแรง พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะลุง และนายกฯ ที่เคยประกาศว่าการปราบปรามเป็นวาระแห่งชาติ จนถึงตอนนี้เหลือเวลาในการดำรงตำแหน่งอีก 37 วัน ท่านจะดำเนินการอย่างไร และการเสียภาษีของบริษัทดังกล่าวที่ได้งานมาโดยส่อฮั้วประมูล และได้งานของรัฐ อีกทั้งยังมีงบบัญชีขาดดุล กรณีนี้พล.อ.ประยุทธ์ จะสั่งการให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรเข้าตรวจสอบได้หรือไม่ คนทั่วไปต้องจ่ายภาษีแบบหลบเลี่ยงไม่ได้ แต่หลานชายพล.อ.ประยุทธ์ ทำได้ใช่หรือไม่

“นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังปล่อยให้หลานชายเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาของนาย ห. อีกด้วย ซึ่งบริษัทของหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ขาดทุน แต่เอาเงินที่ไหนไปลงทุนทำธุรกิจ มีการตั้งข้อสงสัยว่านายตู้ห่าวให้หลานชายพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนอมอนี และออกเงินให้ พล.อ.ประยุทธ์จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร เวลาเหลืออีก 37 วัน ก่อนพล.อ.ประยุทธ์ลงจากตำแหน่งนายกฯ ช่วยพลิกเอาคดีของหลานชายท่านมาทำให้คนไทยทั้งประเทศสิ้นความสงสัย” น.ส.จิราพร กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน