เลขาฯกฤษฎีกา แจง ปม เบี้ยผู้สูงอายุ จ่ายโดยไม่ขัดรธน. ยัน ไม่มีลักไก่ รู้ทุกฝ่ายจ้องอยู่ ย้ำไทยไม่ได้เป็นรัฐสวัสดิการ แต่ให้ความช่วยเหลือคนที่สมควรช่วย

วันที่ 15 ส.ค.2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ข้อกำหนดเรื่องการจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุตามประกาศของกระทรวงมหาดไทยเป็นแนวนโยบายของรัฐซึ่งในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 48 วรรคสอง ได้เขียนไว้ว่ารัฐต้องดูแลบุคคลที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปซึ่งยากไร้และไม่มีรายได้เพียงพอในการดำรงชีพ โดยในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านี้ไม่ได้เขียนแบบนี้แต่เขียนอีกอย่างหนึ่ง

ซึ่งในรัฐธรรมนูญของประเทศไทยในส่วนนี้จะบอกชัดว่าเราให้ความช่วยเหลือคนที่สมควรช่วยเหลือ เราไม่ได้เป็นรัฐสวัสดิการ แต่เป็นการดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ส่วนที่รัฐบาลจะกำหนดให้เป็นการให้ที่มากขึ้นในลักษณะที่เป็นสวัสดิการนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวนโยบายของรัฐบาล ซึ่งรวมทั้งการกำหนดด้วยว่าจ่ายใครบ้าง

นายปกรณ์ กล่าวว่า ปัญหาในเรื่องนี้มีการกำหนดระเบียบเพิ่มเติมขึ้นมาโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ใครที่รับเงินจากรัฐไปแล้ว เช่น บำเหน็จ บำนาญ จากรัฐไปแล้วห้ามให้มารับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอีก เรื่องนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นว่ากำหนดแบบนั้นไม่ได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดว่าหากมีอายุ 60 แล้วเป็นผู้ยากไร้นั้น กำหนดว่ารัฐต้องดูแล ซึ่งรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าเป็นผู้รับเงินจากแหล่งเงินอื่นของรัฐแล้วห้ามรับเงินเบี้ยผู้สูงอายุ หากไปกำหนดในลักษณะนั้นอาจขัดกับรัฐธรรมนูญได้

ดังนั้น ทางออกของเรื่องนี้จึงให้มีการออกเกณฑ์ที่ชัดเจนเป็นข้อๆ ได้แก่ 1.เป็นคนไทยที่อายุไม่ต่ำกว่า 60 ปี และ 2.เกณฑ์ในเรื่องความยากไร้ ไม่มีรายได้พอแก่การดำรงชีพ ซึ่งการดูในเรื่องของความยากไร้ของคนอาจดูในเรื่องของเกณฑ์รายได้ตามเส้นความยากจนหรือกำหนดเกณฑ์ที่เหมาะสมขึ้นมาให้ชัดเจนว่าจะอ้างอิงจากส่วนไหน

เลขาฯกฤษฎีกา กล่าวว่า ในกฎหมายยังมีการกำหนดบทเฉพาะกาลว่าใครที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอยู่ในปัจจุบันก็ยังคงได้รับอยู่ ส่วนที่สองคือเงินที่ได้รับอยู่ไม่ได้น้อยกว่าเดิม ส่วนจะให้มากกว่าเดิมหรือไม่เป็นเรื่องของรัฐบาลใหม่ที่จะกำหนดผ่านเกณฑ์ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติที่จะมากำหนดในเรื่องนี้ ซึ่งการกำหนดเรื่องเกณฑ์ความยากไร้ทำให้เกิดความชัดเจนและไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

“รัฐบาลให้เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมนั้นเป็นเรื่องแนวนโยบายของแต่ละรัฐบาล เหมือนกับที่กำหนดไว้ว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ให้ไว้ 12 ปี แต่หากรัฐบาลบอกว่าสำคัญให้เพิ่มเป็น 15 ปีก็สามารถเพิ่มได้ขึ้นกับมีเงินหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องไปถามว่าหากมีรายได้มากควรจะรับเงินผู้สูงอายุหรือไม่ หรือว่าเราจะช่วยเหลือเฉพาะผู้ยากไร้” นายปกรณ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า นักการเมืองวิจารณ์ว่าเรื่องนี้เป็นสิทธิ์ที่คนไทยควรได้ทุกคน นายปกรณ์ กล่าวว่า ก็ต้องย้อนกลับไปดูตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดว่ารัฐบาลมีหน้าที่ดูแลคนอายุ 60 ปีขึ้นไปที่ยากไร้ ส่วนที่จะมีเกณฑ์ที่ดูแลทุกคนหรือทุกกลุ่มถือว่าเป็นแนวนโยบายของแต่ละรัฐบาลที่จะทำเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะดูในเรื่องของงบประมาณที่มีด้วย หากมีงบประมาณเพิ่มขึ้นก็อาจสามารถให้เพิ่มได้

เมื่อถามว่า บทเฉพาะกาลจะมีผลถึงเมื่อไหร่ นายปกรณ์ กล่าวว่า จะมีผลตลอดไปในการคุ้มครองคนที่ได้รับสิทธิ์อยู่แล้ว ส่วนรายใหม่ก็จะมีการตรวจสอบและขึ้นทะเบียนตามเกณฑ์ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติชุดใหม่ เรื่องนี้ไม่มีใครลักไก่ใครได้ เพราะทุกฝ่ายจ้องดูเรื่องนี้อยู่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน