ศาลยกฟ้อง ดร.เสรี ไม่หมิ่นประมาท “ธนาธร” ชี้วิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต เอาข่าวมาวิเคราะห์ตามข้อเท็จจริง ลั่นเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทย

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 4 ต.ค.2566 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีดำ อ.930/2564 ที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เป็นโจทก์ฟ้อง ดร.เสรี วงษ์มณฑา และ นายวุฒินันท์ นาฮิม 2 ผู้ดำเนินรายการชื่อดัง ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่น ฯ

โจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 จำเลยทั้งสองได้ร่วมพูดคุยกัน ในรายการ “เปิดเนตร” หัวข้อ “เป้าประสงค์ชัด “ธนาธร อยากเป็นมากกว่านายกฯ” เผยแพร่ทางเว็บไซต์ และยูทูบ ซึ่งเป็นการใส่ความให้บุคคลทั่วไป เข้าใจได้ว่า โจทก์กล่าววาจา จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง มีเจตนาแสดงความอาฆาตมาดร้าย และต้องการล้มล้างสถาบัน ฯ เพราะเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายของโจทก์ ซึ่งล้วนเป็นเท็จ ทำให้โจทก์เสียหาย เสื่อมเสียชื่อชื่อเสียง

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า

จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328 ประกอบมาตรา 83 ให้จำเลยลบหรือหยุดเผยแพร่ โพสต์ และหรือบันทึกภาพเคลื่อนไหว ที่มีการหมิ่นประมาทโจทก์ ฯ ซึ่งจำเลยได้รับการประกันตัววงเงิน 1 หมื่นบาท

ในวันนี้ ดร.เสรี วงษ์มณฑา และ นายวุฒินันท์ นาฮิม จำเลยที่ 1-2 พร้อมทนายความมาศาล ขณะที่โจทก์และทนายความทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มา

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์โดยการโฆษณา ตามมาตรา 326,328 แล้ว แต่ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำหรือไม่

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า

เห็นว่า เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์ว่า ก่อนที่จำเลยทั้งสองจะหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา นายธนาธรโจทก์ได้แสดงออกซึ่งพฤติกรรมให้ปรากฏต่อสาธารณะโดยเคยให้สัมภาษณ์ทางสื่อต่างๆ ร่วมเสวนา

และยังโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ในทำนองว่า การให้สถาบันกษัตริย์อยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตยจะต้องมีการปฏิรูปสถาบันฯ เพื่อให้อยู่เหนือการเมือง อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ อำนาจบทบาทของสถาบันฯ ต้องสอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย ปฏิรูปเพื่อให้สถาบันดำรงอยู่คู่สังคมประชาธิปไตย

และโจทก์เคยเสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นอกจากนี้เมื่อโจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี สภาผู้แทนราษฎร โจทก์เคยอภิปรายเกี่ยวกับงบประมาณในหน่วยงานส่วนพระองค์

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมของโจทก์ที่แสดงออกผ่านทางตัวโจทก์สื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยและทำให้ประชาชนคิดไปได้ว่า เหตุใดโจทก์ซึ่งเคยเป็นสส.และเป็นบุคคลสาธารณะถึงต้องการปฏิรูปสถาบันฯ อันเป็นสถาบันสูงสุดของประเทศ

ดร.เสรี วงษ์มณฑา

เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับการพูดคุยในรายการของจำเลยทั้งสอง เป็นเพียงการนำข้อมูลของโจทก์ที่ปรากฏทางสื่อออนไลน์ การอภิปรายของโจทก์ในที่ต่างๆ และหนังสือของโจทก์ มาวิเคราะห์การกระทำ ซึ่งมีลักษณะส่อไปในทางที่กระทบกระเทือนต่อสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้ประชาชนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันทราบถึงข้อมูลและพฤติกรรมของโจทก์

จึงนับว่าการกระทำของจำเลยเป็นแต่เพียงการจัดรายการในฐานะสื่อมวลชนและประชาชนคนหนึ่งวิเคราะห์ข้อมูลไปตามเนื้อข่าวที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ เป็นการแสดงความคิดเห็นเพื่อสื่อสารถึงการกระทำของโจทก์ไปยังประชาชนที่เคารพสถาบันฯเท่านั้น ถ้อยคำและข้อความที่จำเลยทั้งสองหมิ่นประมาทโจทก์ จึงเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็น หรือข้อความโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยซึ่งบุคคลหรือ ประชาชนย่อมกระทำได้

จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) พิพากษายกฟ้อง

ภายหลัง ดร.เสรี ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกดีใจและขอบคุณศาลที่พิพากษายกฟ้อง ซึ่งตนมีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทย ความจริงแล้วคดีนี้ศาลได้ดำเนินการสืบพยานและตัดสินอย่างรวดเร็ว และไม่มีความกังวลใจอะไร เพราะเรารู้ว่าทำอะไร และเราเป็นสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต และเราจัดรายการไม่ได้กุข่าวขึ้นมา

โดยเอาข่าวที่ปรากฏอยู่ในสื่อต่างๆ มาวิเคราะห์อยู่บนฐานของข้อเท็จจริง จึงไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าเป็นข่าวจริงหรือไม่ใช่ข่าวจริง ทั้งนี้ศาลยังให้เหตุผลว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นสื่อมวลชนเท่านั้น แม้แต่ประชาชนที่เห็นพฤติกรรมของเขาแล้ว ไม่สบายใจ ก็สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน