3 สถาบันฯย้ำ“แนวพระราชดำริเป็นรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน”

เปิดผลงานวิจัย 3 สถาบันการศึกษา จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ม.เกษตรฯ เจาะลึกงานพระราชดำริรัชกาลที่ 9 “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่” คือรากฐานสำคัญการพัฒนาอย่างยั่งยืน ประยุกต์ใช้ได้แบบเห็นผลจริง จากชุมชนเล็กๆ พึ่งพาตนเองได้ เกิดความเข้มแข็ง สามารถพัฒนาต่อยอด เติบโต ขยายผล สู่การแข่งขันตามแนวเศรษฐกิจยุคใหม่ระดับโลก

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระราชทานแนวพระราชดำริในการจัดการครัวเรือน ชุมชน “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่” อันเป็นผลมาจากการทรงงานหนักและได้พระราชทานให้กับประชาชนคนไทยได้นำไปปรับใช้เพื่อยกระดับชีวิตที่ดีขึ้น

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้จัดงานแถลงผลการวิจัยแนวทางขับเคลื่อนแนวพระราชดำริเพื่อสร้างความอยู่ดีมีสุขให้แก่ประชาชน ภายใต้ชื่องาน “ร่วมวิจัยถวายพระองค์” เพื่อสืบสานแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

การรวมกลุ่มเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อสร้างอำนาจต่อรองและการเชื่อมโยงตลาด ตลอดจนแหล่งทุนภายนอก ปัจจุบัน พบว่า ในกรณีสหกรณ์การเกษตร ที่มีอยู่กว่า 8,000 แห่ง ได้มีประชาชนที่เป็นสมาชิกกว่า 11 ล้านราย ปริมาณธุรกิจรวมกว่า 2 ล้านล้านบาท รวมแล้วมากกว่า 16.53 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขณะที่ผู้ผลิตสินค้าโอทอป 31,740 ราย มีสินค้ากว่า 127,100 รายการ อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มจำนวนมากที่ไม่ประสบความสำเร็จและต้องการความช่วยเหลือ

วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยความสนับสนุนของกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมการเกษตร และมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ได้รวบรวมพระราชดำริ ตลอดจนลงพื้นที่ศึกษาสภาพการพัฒนาในชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศเป็นเวลา 3 ปี จนพบพระอัจฉริยภาพจากการค้นพบแนวปฏิบัติในการนำเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ไปสู่การพัฒนาพื้นที่สู่ความยั่งยืนอย่างเป็นลำดับขั้นตอน 3 ขั้น ได้แก่ ครัวเรือนพึ่งตนเอง ชุมชมรวมกลุ่มพึ่งตนเองได้ และชุมชนออกสู่ภายนอก

นอกจากนี้ ยังได้ถอดบทเรียนความสำเร็จเป็น “บันได 7 ขั้นสู่การรวมกลุ่มอย่างยั่งยืน” ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับสมาชิกชุมชนที่จะร่วมกันพัฒนาตนและพัฒนาชุมชนให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ได้อย่างสมดุลและต่อเนื่อง

บันได 7 ขั้นสู่การรวมกลุ่มอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย (1) การประเมินความพร้อมของกลุ่ม (2) การสร้างความเข้าใจในสิทธิหน้าที่และประโยชน์ของสมาชิก (3) พัฒนาโมเดลธุรกิจและระบบการจัดการกลุ่มให้ทันสมัย (4) เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต (5) กระตุ้นการมีส่วนร่วมของสมาชิกในทุกขั้นตอนหลักของกลุ่ม (6) ส่งเสริมการใช้ฐานข้อมูลและองค์ความรู้เพื่อประเมินผลและเพิ่มประสิทธิภาพ (7) สร้างทักษะการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานให้ตรงจุดสำคัญและต่อเนื่อง

ด้านสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ ไปศึกษาในบริบทชนพื้นเมือง พบว่า กลุ่มชนพื้นเมืองกะเหรี่ยงและชาวเลมอแกนได้หันไปสู่เศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาตลาดและระบบเงินตรา จากเดิมที่มีการใช้ชีวิตอยู่อย่างพอเพียงได้แปรเปลี่ยนไปสู่การสร้างหนี้สินและการบริโภคแบบคนเมือง

การวิจัยเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียงในบริบทของชนพื้นเมือง” จึงมุ่งออกแบบแนวทางฟื้นฟูและพัฒนาชาวเลมอแกนและกะเหรี่ยง สู่วิถีชุมชนพอเพียงพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน อาทิ การเรียนรู้ปัญหาที่เกิด การทำบัญชีครัวเรือน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และใช้กระบวนการกลุ่ม เพื่อเรียกคืนความสมดุลในการหาเลี้ยงชีพ การดูแลสิ่งแวดล้อม และวิถีพื้นเมือง

ขณะที่ผลการวิจัยเรื่อง “จากสหกรณ์ สู่ทฤษฎีใหม่ผลงานวิจัยตามศาสตร์พระราชา” ของสถาบันวิชาการด้านสหกรณ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ก่อให้เกิด “ตัวแบบธุรกิจสหกรณ์และธุรกิจชุมชน” ที่สามารถสร้างพื้นที่เศรษฐกิจแนวใหม่ซึ่งใส่ใจในการค้าที่เป็นธรรม เปิดให้เกษตรกรรายย่อยเข้ามามีส่วนร่วม และนำไปสู่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ สามพรานโมเดลและคิชฌกูฏโมเดล

จากการเผยแพร่ผลการศึกษาจาก 3 มหาวิทยาลัย ผู้วิจัยได้เสนอแนวทางต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในนำไปพัฒนา ขยายผล ประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับชุมชน ตามแนวทางที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอุลยเดชพระราชทานไว้เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชนไทยสืบไป

//////////////////////////////////////////////////////

ขอบพระคุณที่กรุณาเผยแพร่ข่าวสาร
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
โปรดติดต่อคณะผู้จัดงาน โทรศัพท์ 02-6115009

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน