ครม.ไฟเขียวแจกเงินคนจน เริ่มโอน 1 ธ.ค. รายละ 1,500-3,000 บาท รวม 5.4 ล้านรายใช้งบ 1.2 หมื่นล้าน พร้อมอนุมัติอีก 2 หมื่นล้านปล่อยกู้ชาวนาแปลงใหญ่ รายละไม่เกิน 10 ล้าน อุ้มข้าวเปลือกตันละ 1.3 หมื่น เห็นชอบขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5-10 บาท ในพื้นที่ 69 จังหวัด “สมคิด”ยันยังมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก “บิ๊กป้อม”ลั่นไม่เอาไว้คนต้านคสช. ตำรวจรวบตัวแล้ว 3 ราย เพื่อไทย จี้”บิ๊กตู่”ปลดล็อกพรรคการเมือง ครม.โยก “ปกรณ์” กลับรองเลขาฯกฤษฎีกา ผบ.ตร. ชี้คลิป”เบส” พูดถึงคนอีสาน เข้าข่ายยุยงให้แตกแยก

“บิ๊กตู่”ยันร่างกม.ลูกตามกรอบเวลา

วันที่ 22 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีตรวจเยี่ยมกระทรวงต่างๆ โดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ว่า ตนเคยบอกไว้แล้วถ้าจะไปกระทรวงไหนก็จะบอกในวันนั้น ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องต้อนรับอย่างไร ขอแค่ให้ตอบคำถามในสิ่งที่สั่งการไปแล้วให้ได้ก็แล้วกัน ที่ผ่านมาทุกกระทรวงทราบดีเพราะตนเน้นย้ำในที่ประชุม ครม.มาตลอด

นายกฯ กล่าวถึงการประชุมร่วมแม่น้ำ 5 สาย ว่า วันนี้ถือว่าทำงานร่วมกันอยู่แล้วคงไม่ต้องมีการประชุมพิเศษ ส่วนที่กฎหมายลูกยังไม่ได้ข้อยุตินั้นบอกไปแล้วว่าให้หาข้อยุติให้ได้ ตรงนี้มีกรอบเวลาอยู่เดี๋ยวเขาก็สรุปกันจนได้ ฉะนั้นอย่าไปขยายความให้เกิดความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น ตนได้ให้แนวทางไปแล้วการทำกฎหมายต่างๆ สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรที่จะนำกฎหมายจำเป็นออกมาใช้ เพื่อให้รัฐบาลนี้บริหารได้ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กฎหมายเกี่ยวกับพ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า กฎหมายปิโตรเลียม กฎหมายพวกนี้จะต้องหาทางออกให้ได้เพราะมีผลกับหลายๆ อย่างที่เชื่อมโยงกัน อะไรที่ทำได้ก็ให้ออกมาก่อน ส่วนที่มีปัญหาก็ไปแก้ทีหลัง สิ่งไหนที่ต้องการตนจะเริ่มต้นไว้ให้เพื่ออนาคตสามารถทำต่อได้โดยเขียนไว้ในกฎหมาย แต่วันนี้หลายอย่างยังไม่พร้อม

ครม.ไฟเขียวแจกเงินคนจน

นายกฯ แถลงถึงมาตรการเพิ่มรายได้ให้ผู้มีรายได้น้อยตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ว่า ขอร้องว่ามาตรการดังกล่าวอย่าใช้คำว่ารัฐบาลแจกเงิน ถือเป็นมาตรการช่วยเหลือให้กับผู้มีรายได้น้อย ตามที่เราเคยประกาศไว้แล้วให้ไปขึ้นทะเบียนสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย วัตถุประสงค์เพื่อดูแลประชาชนที่มีอาชีพอื่นๆ ด้วย นอกเหนือจากเกษตรกร

นายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้ทำต่อเนื่องจากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งทำมาแล้วหลายครั้ง ตนจึงเป็นห่วงประชาชนที่มีอาชีพ อื่นๆ ด้วย จึงได้ดำเนินการต่อเนื่องสอด คล้องกับนโยบายรัฐบาลและมีมาตรการอื่นออกมาอีก เช่น การดูแลค่าใช้จ่ายการเดินทาง การใช้ตั๋วร่วม รวมทั้งการเชื่อมโยงการขึ้นรถเมล์และรถไฟฟรี เพื่อให้เกิดประโยชน์กับทุกคน ซึ่งทั้งหมดมี 8 ล้านคน โดยมีเกษตรกรรวมอยู่ด้วย และได้รับการช่วยเหลือไปแล้ว 3 ล้านคน สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาทต่อปีจะได้รับเงินช่วยเหลือ 3,000 บาท และผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 30,001 บาท ไม่เกิน 1 แสนบาท จะได้รับเงินช่วยเหลือ 1,500 บาท ตามที่ลงทะเบียนไว้ ซึ่งได้มีการตรวจสอบตามขั้นตอนของกฎหมายเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการจ่ายเงินให้ ซึ่งมาตรการช่วยเหลือรัฐบาลจะมีอย่างต่อเนื่อง

ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5-10 บ. 69 จว.

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอให้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 69 จังหวัดทั่วประเทศ 5-10 บาท ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องนี้เสนอขึ้นมา แม้จะไม่มากแต่ถือเป็นกำลังใจก่อนเนื่องจากเรายังมีเศรษฐกิจเดิมๆ อยู่ รายได้ยังเพิ่มขึ้นไม่มาก การจะปรับขึ้นก็ต้องคำนึงถึงผู้ประกอบการด้วย ถ้ามองซีกเดียวก็ไปไม่ได้ทั้งหมด การทำงานต้องคำนึงถึงความสมดุลและเมื่อไปอีกสักระยะเวลาหนึ่ง อาจได้เพิ่มมากขึ้นกว่านี้ แต่สิ่งที่จะได้คือมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ถ้าได้ลงทะเบียนไว้ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือด้วย

มีผล 1 มกราฯ 60

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯเผยว่า ครม.รับทราบการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใน 69 จังหวัดตามมติของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งมีมติปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานปี 2560 หลังจากครม.เห็นชอบจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2560 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า เป็นการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำครั้งแรกในรอบ 4 ปี เฉลี่ยปรับขึ้นค่าจ้าง 1.71 เปอร์เซ็นต์ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.จังหวัดที่ไม่ปรับค่าจ้างแรงงาน โดยคงค่าจ้างขั้นต่ำไว้ที่ 300 บาทต่อวัน 8 จังหวัด ได้แก่ สิงห์บุรี ชุมพร นครศรีธรรมราช ตรัง ระนอง นราธิวาส ปัตตานี และยะลา

2.กลุ่มจังหวัดที่ปรับขึ้น 10 บาทต่อวัน 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และภูเก็ต

3.กลุ่มที่ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 8 บาทต่อวัน 13 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น นครราชสีมา ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา เชียงใหม่ สระบุรี ฉะเชิงเทรา กระบี่ พังงา และอยุธยา

4.กลุ่มที่ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5 บาทต่อวัน มี 49 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง น่าน ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี เพชรบุรี พัทลุง สตูล กำแพงเพชร พิจิตร แพร่ เพชรบูรณ์ อุทัยธานี สกลนคร กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด บุรีรัมย์ สุรินทร์ อำนาจเจริญ ชัยนาท ลพบุรี นครนายก สระแก้ว ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม จันทบุรี ตราด ลำพูน พะเยา สุโขทัย อุตรดิตถ์ บึงกาฬ นครพนม อุบลราชธานี อ่างทอง เลย หนองบัวลำภู มุกดาหาร ยโสธร เชียงราย พิษณุโลก อุดรธานี ชัยภูมิ ศรีษะเกษ นครสวรรค์ และหนองคาย

จับตาฉวยขึ้นราคาสินค้า

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าแรงครั้งนี้ พิจารณาจากความคิดเห็นของทุกฝ่าย เชื่อว่าไม่มีอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ หรือมีผลทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อภาวะค่าครองชีพของประชาชน โดยหลังจากประกาศใช้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2560 แล้ว กระทรวงแรงงานจะติดตามผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับภาคส่วนต่างๆ อย่างใกล้ชิด

“นายกฯแจ้งในการประชุมครม.ว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งนี้ ปรับขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นเพื่อให้แรงงานมีรายได้ในการดำรงชีพเพิ่มขึ้น ขอให้หน่วยงานราชการต่างๆ ชี้แจงทำความเข้าใจ และช่วยกันตรวจตราขออย่าให้มีการอ้างเอาการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนี้ไปใช้เป็นเหตุผลในการปรับขึ้นราคาสินค้า” นายกอบศักดิ์กล่าว

ทุ่ม 1.2 หมื่นล.ช่วย 5.4 ล้านคนจน

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ เผยว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งจะครอบคลุมกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนไว้กับภาครัฐในเดือน ก.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมา ในกลุ่มที่อยู่นอกภาคเกษตร ผู้ว่างงานและผู้มีรายได้น้อยกว่า 100,000 บาทต่อปี ประมาณ 5.4 ล้านคน ใช้วงเงินดำเนินการทั้งสิ้น 12,750 ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณบรรจุรายจ่ายไว้ในการจัดสรรงบประมาณปี 2561 และระหว่างนี้ให้ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธ.ก.ส. ซึ่งเป็นธนาคารที่รัฐบาลมอบให้ดำเนินการโครงการนี้สำรองจ่ายไปก่อน และรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือนบวก 1 เปอร์เซ็นต์ หรือ FDR+1 (ปัจจุบันอัตรา FDR เท่ากับ 1.225 ต่อปี)

เริ่มโอน 1 ธ.ค.นี้

นายณัฐพรกล่าวว่า การจ่ายเงินเพิ่มรายได้ให้กับผู้มีรายได้น้อยนอกภาคเกษตร แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ที่ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี จำนวน 3.1 ล้านคน จะได้รับเงินจากรัฐบาล 3,000 บาทต่อคน ใช้วงเงิน 9,300 ล้านบาท และผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 30,001-100,000 บาทต่อปี จำนวน 2.3 ล้านคน ได้รับเงินจากรัฐบาล 1,500 บาทต่อคน ใช้วงเงิน 3,450 ล้านบาท รวมวงเงินทั้งสิ้น 12,750 ล้านบาท ธนาคารที่รับผิดชอบทั้ง 3 แห่งจะจ่ายเงินเข้าบัญชีผู้มีรายได้น้อยที่มีสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 1-30 ธ.ค.นี้

นายณัฐพรกล่าวว่า สำหรับคุณสมบัติของผู้มีรายได้น้อย ที่จะได้รับเงินตามมาตรการนี้ มีรายได้ไม่ถึง 100,000 บาท มีสัญชาติไทยอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ณ วันที่ 15 ส.ค. 2559 และได้รับการตรวจสอบสถานะบุคคลและความถูกต้องของข้อมูลจากกรมสรรพากรและกรมการปกครองแล้ว โดยวิธีการโอนเงินกรณีผู้มีรายได้น้อย มีบัญชีกับ 3 ธนาคารแล้ว ให้ธนาคารโอนเงินเข้าบัญชีของผู้มีสิทธิ์ได้รับเงิน กรณีที่ไม่ได้เป็นลูกค้าของธนาคาร ให้ผู้มีสิทธิ์ไปแสดงตัวและเปิดบัญชีเงินฝากที่สาขาธนาคารที่ลงทะเบียนตามโครงการ และตรวจสอบเงินในบัญชีได้หลังจากเปิดบัญชีใน 7 วัน

ไฟเขียวอุ้ม”ข้าวเหนียว”

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวนาปี ปีการผลิต 2559/2560 รวมเป็นเงินที่เกษตรกรจะได้รับตันละ 13,000 บาท มาจากสินเชื่อจาก ธ.ก.ส. ตันละ 9,500 บาท คิดจากไม่เกิน 90 เปอร์เซ็นต์ ของราคาตลาดซึ่งอยู่ที่ตันละ 10,560 บาท รวมวงเงินสินเชื่อ 23,734 ล้านบาท โดยมีค่านำข้าวเก็บในยุ้งฉางตันละ 1,500 บาท เงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและค่าปรับสภาพข้าวตันละ 2,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 12,000 บาท วงเงินรวม 12,471 ล้านบาท กรอบเป้าหมายรวมกับข้าวหอมมะลิที่ 2 ล้านตัน ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2559-28 ก.พ. 2560 ส่วนภาคใต้สิ้นสุดโครงการวันที่ 31 ก.ค. 2560

“เมื่อรวมวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ทั้งข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเจ้า และข้าวเปลือกเหนียว จะใช้สินเชื่อรวม 30,830 ล้านบาท และงบประมาณจ่ายขาดเป็นค่าเก็บข้าวขึ้นยุ้งฉางรวม 5,679 ล้านบาท ขณะที่เงินช่วยเหลือสำหรับค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวรวม 41,090 ล้านบาท” นายณัฐพรกล่าว

2 หมื่นล.ปล่อยกู้นาแปลงใหญ่

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม.ยังอนุมัติกรอบวงเงินสินเชื่อ 20,000 ล้านบาท สำหรับโครงการสนับสนุนสินเชื่อให้กลุ่มชาวนาผู้ผลิตข้าวแบบแปลงใหญ่ ปี 2559/2560 ระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่เดือนธ.ค. 2559- ธ.ค. 2564 พร้อมงบประมาณค่าชดเชยดอกเบี้ยให้ธ.ก.ส. 3,000 ล้านบาท มีเป้าหมายเกษตรแปลงใหญ่ 2,000 แปลง สนับสนุนสินเชื่อให้กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์การเกษตรวงเงินไม่เกินแปลงละ 10 ล้านบาท สามารถนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายจัดหาปัจจัยการผลิต เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรวบรวมผลผลิต จัดหาและพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำในแปลง จัดหาและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จัดหาเครื่องมือ เครื่องจักรกล และอุปกรณ์ทางการเกษตร

นายณัฐพรกล่าวว่า รัฐบาลได้ปรับเงื่อนไขจากโครงการเดิมที่เคยทำแต่ได้รับความสนใจไม่มากเนื่องจากเป็นสินเชื่อระยะสั้น 1-3 ปี จึงปรับให้เป็น 5 ปี โดยธ.ก.ส.คิดอัตราดอกเบี้ย 3.01 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ตลอดระยะเวลาโครงการ โดยจะเรียกเก็บดอกเบี้ยจากกลุ่มเกษตรกรในอัตรา 0.01 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ขณะที่รัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ธ.ก.ส.ในอัตรา 3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี ใช้งบรวม 3,000 ล้านบาท พร้อมกำหนดให้ธ.ก.ส. แยกบัญชีโครงการนี้ออกจากการดำเนินงานปกติ เป็นการดำเนินงานตามนโยบายรัฐหรือพีเอสเอ เพื่อให้ขอรับการชดเชยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากรัฐบาล

ยังมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กล่าวว่า มาตรการช่วยเหลือคนมีรายได้น้อยที่ผ่านครม.ครั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนเมืองที่มีรายได้น้อย ประกอบอาชีพอิสระให้ใช้ชีวิตอยู่ได้ จากนี้ไปจะยังมีมาตรการออกมาเพิ่มเติมอีก เช่น การช่วยเหลือคนสูงอายุ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะไปหามาตรการมาดูแลต่อไป ขณะเดียวกัน ยังมีแนวทางช่วยเหลือด้านการเดินทาง โดยอาจใช้กลไกของพร้อมเพย์ ด้วยการให้ผู้มีรายได้น้อยใช้บัตรเพียงใบเดียวก็นำมาใช้โดยสารรถสาธารณะได้ในบางเส้นทาง

พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผอ.สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลออกมาตรการหวังกระตุ้นเศรษฐกิจและเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เงินเพียงแค่หลักพันต้องยอมรับว่าอาจช่วยผู้มีรายได้น้อยได้ไม่มาก แต่ในช่วงใกล้จะถึงเทศกาลปีใหม่อาจช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับคนกลุ่มนี้ได้บ้าง บางส่วนก็อาจนำไปใช้ในเรื่องของค่าเทอมบุตรหลาน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องคาดการณ์ให้ดีว่าหลังจากออกมาตรการดังกล่าวแล้ว ทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ต้องประเมินสถานการณ์ รวมทั้งควรหามาตรการออกมากระตุ้นในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณปี 2560 ด้วย เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้จ่ายตามโครงการต่างๆ ของภาครัฐ มาตรการดังกล่าวเปรียบเหมือนกับนโยบายประชานิยม แค่ใช้ชื่อต่างกัน ก็เหมือนกันจำนำข้าวกับมาตรการชะลอการขายข้าว

มท.สั่งผู้ว่าฯช่วยแก้ข้าวตก

ที่กระทรวงมหาดไทย นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย และน.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ 76 จังหวัด เพื่อชี้แจงแนวทางแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำตามมติคณะกรรมการนโยบายและการบริหารจัดการข้าว(นบข.) ที่มีตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ให้แก่ผู้ว่าฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่

น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ แจ้งผู้ว่าฯ ให้ช่วยดำเนินการอย่างใกล้ชิด 5 ประเด็น คือ 1.ให้ความเป็นธรรมแก่เกษตรกร ดูแลอย่างใกล้ชิดและขอให้นายอำเภอและคณะกรรมการระดับพื้นที่ ตรวจสอบสถานที่รับซื้อข้าวโดยเฉพาะโรงสี เครื่องชั่ง การปิดป้ายแสดงราคาและหลักเกณฑ์ต่างๆ ให้ถูกต้อง 2.ให้จังหวัดบริหารจัดการรถเกี่ยวข้าวในพื้นที่ 3.ติดตามและจัดทำข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการนาแปลงใหญ่ ปัญหาอุปสรรคต่างๆ เพื่อนำมาแก้ไขต่อไป 4.โครงการชดเชยดอกเบี้ยโรงสี ให้ตรวจสอบสต๊อกของผู้ได้รับการอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และ 5.จังหวัดที่มีพื้นติดชายแดนให้เข้มงวดกวดขันการลักลอบนำเข้าข้าวเปลือกจากเพื่อนบ้าน

นายกฤษฎากล่าวเน้นย้ำให้ผู้ว่าฯ ใช้กลไกของคณะอนุกรรมการติดตามกำกับดูแลการบริหารจัดการข้าวระดับจังหวัด ตรวจสอบกำกับดูแลการซื้อขายข้าว สถานที่รับซื้อ ให้เกิดความเป็นธรรมแก่เกษตรกร เน้นย้ำให้นายอำเภอใช้เวทีการประชุมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ชี้แจงแนวทางและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรของรัฐบาล เช่น โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก การช่วยเหลือเงินชดเชยชาวนาที่ประสบภัยน้ำท่วม โครงการเกษตรแปลงใหญ่ และมาตรการอื่นๆ เพื่อให้เกษตรกรได้รับทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง ส่วนมาตรการเร่งด่วนที่หลายจังหวัดช่วยชาวนานำข้าวมาขายโดยตรงอยู่ขณะนี้ ต้องเป็นการซื้อข้าวโดยตรงจากชาวนาและเป็นข้าวในฤดูการผลิตนี้ เพื่อให้การช่วยเหลือตรงตามกลุ่มเป้าหมาย

เร่งนำผู้ต้องหา 112 กลับไทย

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์หลังประชุมครม. ถึงข่าวรัฐบาลลาวสั่งปิดสถานีวิทยุของกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า เมื่อรัฐบาลลาวดำเนินการจริงจังเช่นนี้กลุ่มดังกล่าวต้องหยุดเคลื่อนไหว ถ้าประเทศต่างๆ ให้ความร่วมมือกับเราอย่างดีเรื่องเหล่านี้ก็จะคลี่คลายลง เรื่องนี้ถือเป็นความร่วมมือไม่ได้ยึดถือกฎหมายของประเทศตัวเองเป็นที่ตั้ง หลายประเทศรับรู้แล้วว่าคนไทยให้ความสำคัญยิ่งต่อสถาบันแต่ที่ผ่านมาถูกนำไปบิดเบือน

เมื่อถามว่ามีโอกาสได้ตัวผู้กระทำผิด มาตรา 112 กลับมาดำเนินคดีในไทยหรือไม่ นายดอนกล่าวว่า ต้องปล่อยให้แต่ละประเทศดำเนินการด้วยวิธีของตัวเอง เช่น ปรามผู้ที่ยังกระทำผิดเพราะไม่มีประเทศใดต้องการให้คนที่มีปัญหามาอยู่ในประเทศตัวเอง แล้วไปสร้างปัญหาทางการเมืองให้กับรัฐบาลและประชาชนของอีกประเทศ

ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. กล่าวเรื่องเดียวกันว่า เป็นหน้าที่ของอัยการต้องประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ ตำรวจมีหน้าที่แค่ทำสำนวนคดี ทั้งนี้จะประสานกับตำรวจสากลในการติดตามตัวอีกช่องทางหนึ่ง ยืนยันว่าตำรวจไม่นิ่งนอนใจจะเร่งรัดติดตามตัวมาดำเนินคดีโดยเร็ว ส่วนไทยและลาวจะมีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ต้องหาที่ทำความผิดตามมาตรา 112 หรือไม่นั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง

จับต้านคสช.ที่ขอนแก่น

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์หลังประชุมครม. กรณีกรณีมีการแจกใบปลิวบิดเบือนข้อมูลรัฐบาลที่ จ.ขอนแก่น ว่า กำลังสอบสวนอยู่ หากที่ใดจะเคลื่อนไหวเหมือนกลุ่มดังกล่าวก็ต้องถูกจับกุม เพราะทำให้เกิดความไม่มั่นคงในประเทศเกิดความปั่นป่วน ตนจะจับทั้งหมด ไม่เอาไว้และทำทันที อย่าง กลุ่มจ.ขอนแก่น ที่เคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา ตนก็จับทันที ทุกอย่างมีกล้องโทรทัศน์วงจรปิดหรือกล้องซีซีทีวี ตรวจสอบได้

คุม 3 รายได้ที่ปทุมฯ

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. กล่าวกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 3 ราย แจกใบปลิวต่อต้านคสช. เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาในพื้นที่อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ว่า ยังไม่มีการจับกุมใครเพียงแต่เชิญตัวมาสอบถามข้อเท็จจริง หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่าบุคคลดังกล่าวยุยงปลุกปั่นในลักษณะเขียนจดหมายบิดเบือน สร้างความปลุกปั่น ซึ่งตำรวจมั่นใจในพยานหลักฐานและคาดว่าจะออกหมายจับได้

รองผบ.ตร. กล่าวว่า ผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 ราย อยู่ในการควบคุมตัวของทหารและรอให้เจ้าหน้าที่ทหารสอบปากคำก่อน ส่วนจะส่งให้ตำรวจเมื่อไรขึ้นกับทหาร และยังไม่ทราบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองหรือไม่ แต่จะมีการร้องทุกข์กล่าวโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ข้อหา ยุยงปลุกปั่น บางคนมีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วน รายอื่นๆ ต้องดูรายละเอียดอีกครั้ง ตำรวจมั่นใจในพยานหลักฐานที่ใช้ดำเนินคดี มีเพียงพอที่จะออกหมายจับได้ ส่วนจะเป็นกลุ่มคนที่มีประวัติหรือควบคุมตัวอยู่สถานที่ใดนั้นไม่สามารถตอบได้ เป็นเรื่องของกองทัพ

รายงานข่าวแจ้งว่า มีการคุมตัวผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 ราย มาที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาล(บช.ส.) เพื่อซักถามก่อนส่งตัวให้ทหาร โดย 1 ในนั้นคือ นายศักดิ์ดา สุกุลพนารักษ์ ชาวจ.เชียงใหม่ พร้อมกับภรรยาและหญิงสาวหนึ่งคน

พท.จี้ปลดล็อกพรรคการเมือง

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรมว.ต่างประเทศ และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ถึงเวลาที่พล.อ.ประยุทธ์ จะพิจารณาเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองเริ่มทำกิจกรรมได้แล้ว เพื่อจะได้เตรียมความพร้อมขององค์กร ศึกษาสถานภาพและปัญหาของประเทศในทุกด้านเพื่อวางแนวนโยบาย ทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ของประชาชนทุกอาชีพ ที่ต้องใช้สติปัญญาระดมความคิดที่ดีที่สุด เพื่อนำมาแก้ปัญหาประเทศ ไม่ว่าการส่งออก ผลผลิตด้านการเกษตร ทบทวนโครงสร้างด้านอุตสาหกรรมในประเทศ ให้มีอัตราการเจริญเติบโตที่เป็นบวก เพิ่มขึ้นมากกว่าที่รัฐบาลชุดนี้ทำได้

นายสุรพงษ์กล่าวว่า นอกจากนี้ พรรคต้องคัดเลือกตัวผู้สมัครส.ส. ต้องอบรมให้ความรู้ทางการเมือง ให้พร้อมทำงานรับใช้ประชาชนในสภาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ติดตามตรวจสอบการทำงานของข้าราชการ ตรวจสอบการทุจริตในทุกกระทรวง ทบวง กรม และอาจจะหาแนวทางสังคายนากฎหมายที่สนช.เร่งรีบยกร่างขึ้นมา ไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดและไม่เข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของประชาชน อีกทั้งไม่มีฝ่ายค้านคอยทักท้วงหรือเสนอความเห็นที่แตกต่าง เมื่อนำมาบังคับใช้ก็อาจมีปัญหาตามมาได้ จึงต้องแก้ไขเพิ่มเติมให้ดีขึ้น หวังว่าหัวหน้าคสช.จะคิดการณ์ล่วงหน้า อย่างช้าที่สุดน่าจะเป็นต้นปี 2560 เพราะ 2-3 ปีที่ผ่านมา นักการเมืองกลายเป็นคนเลวในสายตาของสังคม พวกเราจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมและคัดสรรคนดีๆ มาเป็นส.ส.รับใช้ประชาชน

อ้างปชช.ไม่ให้กกต.จว.จัดเลือกตั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า คณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ที่มีนายธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย เป็นประธาน ได้สรุปข้อเสนอสำคัญจากการลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ที่จ.ชลบุรี และจ.สุราษฎร์ธานี ต่อร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ดังนี้ บทบาทหน้าที่กกต. ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่า ให้ กกต.ทำหน้าที่ควบคุมการเลือกตั้ง ส่วนการจัดเลือกตั้งให้เป็นหน่วยงานอื่น

ประเด็นกกต.จังหวัดนั้น อดีตกกต.จังหวัดส่วนใหญ่เสนอให้คงแบบที่เป็นอยู่ โดยให้ปรับเพิ่มเป็น 7 คน ให้สอดคล้องกกต.กลาง มีหน้าที่เผยแพร่ความรู้ประชาธิปไตย สลับพื้นที่กันดูแลเมื่อมีการเลือกตั้ง ส่วนค่าตอบแทนไม่ขัดข้องว่าจะเป็นเงินเดือนประจำ เบี้ยประชุม หรืออื่นๆ แต่ภาคประชาชนมองว่าไม่ควรให้กกต.จังหวัดจัดการเลือกตั้ง โดยให้กกต.กลางส่งผู้ควบคุมการเลือกตั้งลงไปในพื้นที่ และให้เพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ภาคประชาสังคมในการสังเกต การณ์เลือกตั้ง ควรคุ้มครองเจ้าหน้าที่และพยานในคดีเลือกตั้ง

พรรครับผิดชอบส.ส.พูดเท็จ

ขณะที่พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง มีข้อเสนอให้ผู้ริเริ่มจัดตั้งพรรคมาจากหลายสาขาวิชาชีพ สถานะของพรรคในปัจจุบันมีข้อเสนอทุกระดับ ตั้งแต่ให้จัดตั้งพรรคและรับสมัครสมาชิกใหม่ทุกพรรค ไม่ต้องตั้งพรรคใหม่แต่ให้สมัครสมาชิกใหม่ สุดท้ายไม่ต้องตั้งพรรคใหม่และไม่ต้องหาสมาชิกใหม่ ส่วนระบบสมาชิกพรรค ควรมีหลากหลายวิชาชีพ มีอายุสมาชิก 2 ปี โดยพรรคต้องเป็นผู้จัดทำทะเบียนทุก 2 ปี แต่เรื่องค่าสมาชิก มีทั้งเสนอให้ต้องเก็บและไม่ต้องเก็บ ตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งต้องเป็นสมาชิกมาพอสมควร การพิจารณาส่งตัวแทนลงสมัครเลือกตั้งในต่างจังหวัด การตัดสินใจของสาขาพรรคต้องเป็นที่สุด สำหรับคณะกรรมการบริหารพรรค ต้องมีหลายสาขาอาชีพ กระจายหลายภูมิภาคและมีการประเมิน สุดท้ายพรรคต้องรับผิดชอบส.ส.ที่กล่าวเท็จในสภาและต้องไม่ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครอง

ทั้งนี้ ในวันที่ 23 พ.ย. ช่วงเช้าคณะ อนุกรรมการ จะพิจารณาสรุปข้อเสนอสำคัญต่อการร่างพ.ร.บ.ว่าด้วย กกต. และ พ.ร.บ.ว่า ด้วยพรรคการเมือง จากการรับฟังที่จ.อุบลราชธานีและจ.เชียงราย ก่อนจะสรุปเสนอที่ประชุม กรธ. พิจารณาต่อไป

ครม.โยก”ปกรณ์”กลับกฤษฎีกา

วันที่ 22 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมครม.ว่า ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ 3 ราย 1.นายจักรกฤษณ์ ศรีวลี อธิบดีกรมอาเซียน เป็นเอกอัครราชทูต กรุงบูดาเปสต์ ฮังการี 2.นายดุสิต เมนะพันธุ์ กงสุลใหญ่ นครโอซากา ญี่ปุ่น เป็นเอกอัครราชทูต คูเวตซิตี รัฐคูเวต และ 3.น.ส.วรมณี คณานุรักษ์ อัครราชทูต กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน เป็นเอกอัครราชทูต กรุงเม็กซิโกซิตี สหรัฐเม็กซิโก ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป และอนุมัติแต่งตั้งให้นายวิชิต แย้มบุญเรือง ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐเซเนกัลประจำประเทศไทย

อนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ 9 คน เนื่องจากครบวาระ 2 ปีแล้ว ดังนี้ 1.นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ผู้แทนเกษตรกร 2.นายประพันธ์ เทียนวิหาร ผู้แทนเกษตรกร 3.นางเบญจวรรณ นิชจำนงค์ ผู้แทนเกษตรกร 4.นายประวิท ตันเสียง ผู้แทนเกษตรกร 5.นายเผด็จ ดิฐษดี ผู้แทนเกษตรกร 6.นายไพรัช เจ้ยชุม ผู้แทนเกษตรกร 7.นายสรรเสริญ อัตจุตมานัส ผู้ทรงคุณวุฒิ 8.น.ส.ลดาวัลย์ คำภา ผู้ทรงคุณวุฒิ 9.นายวีระชัย นาควิบูลย์วงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. เป็นต้นไป

อนุมัติทบทวนมติครม.เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา เรื่องขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการครม. อีกตำแหน่งหนึ่งเป็นการชั่วคราว โดยอนุมัติให้นายปกรณ์ นิลประพันธ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กลับไปปฏิบัติหน้าที่รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาตามเดิม ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.นี้

ผบ.ตร.ชี้”เบส”เข้าข่ายยุยงแตกแยก

วันที่ 22 พ.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กล่าวกรณีนายคารม พลพรกลาง ทนายความ แจ้งความดำเนินคดีกับน.ส.อรพิมพ์ รักษาผล หรือเบส นักพูดชื่อดัง กล่าวหาพูดหมิ่นประมาทคนอีสานว่า จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งพยาน หลักฐาน ว่าเข้าข่ายยุยงให้แตกแยกหรือไม่ จากที่ดูคลิปวิดีโอคร่าวๆ มองว่าน่าจะเข้าข่ายความผิด แต่ต้องตรวจรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง พร้อมจับตากลุ่มมวลชนที่จะใช้กระแสนี้ปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกรุนแรงขึ้น ต้องดูว่าขณะนี้ประเทศไทยอยู่ภาวะอะไร ควรพิจารณาให้มาก ตนไม่อยากเห็นความแตกแยก ขอให้ทุกคนสามัคคี

พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า การวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ ตำรวจนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ส่วนที่มีผู้เข้ามาแจ้งความไว้ พนักงานสอบสวนจะต้องรวบรวมหลักฐานตามกฎหมาย หากพบว่าหมิ่นประมาทจริง ก็จะนำหลักฐานไปขอความเห็นชอบจากศาล หากพบว่าไม่เข้าข่ายก็จะยกฟ้องต่อไป ส่วนที่มีผู้ใช้สังคมออนไลน์ตอบโต้กันระหว่างผู้เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วย อาจจะสร้างความแตกแยกในสังคมนั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า มีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่ หากพบว่าใครหมิ่นประมาทหรือทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกจับ ฝากเตือนประชาชนไม่ควรฝ่าฝืนกฎหมาย

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม กล่าวกรณีนายเทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา โพสต์คลิปวิดีโอลงยูทูบ ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่าให้ข้อมูลที่ทำให้ประชาชนสับสนและบางคลิปล่อแหลม ว่า ต้องเข้าไปดูแลทั้งหมดแต่ขอให้เกิดความชัดเจนก่อน มีหน่วยงานดูอยู่ซึ่งเขาคงจะเข้ามาให้รายละเอียด จะให้โฆษกแจ้งให้ทราบถ้าบิดเบือน ไม่ใช่เรื่องจริงก็ต้องผิด ต้องดำเนินคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มีอยู่แล้ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน