หากเริ่มต้นจากบทสรุปของ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท เลขาธิการคสช.ที่ว่ากรณีของ”ธรรมกาย”

มิได้เป็นการตีเพื่อยึด “ป้อมค่าย”

แม้ว่าภายใน “ธรรมกาย” แม้ว่าที่เห็นจาก”ตลาดกลาง”จะมีลักษณะใกล้เคียงกับ”ป้อมค่าย”เป็นอย่างมาก

แต่ก็เป็นเรื่องของ “ไทย” ด้วยกัน

ยิ่งกว่านั้น หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งลงไปอีก ยังเป็นเรื่องที่อาจมั่นใจได้ว่า

เป็นเรื่องของ “ไทยพุทธ” ด้วยกัน

ไม่ว่าจะคิดแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด แต่ก็เคารพ ศรัทธาต่อ “พระพุทธเจ้า”องค์เดียวกัน

คำว่า “จบเกม” จึงไม่ได้หลุดจากปาก “ผบ.ทบ.”

ขณะเดียวกัน หากติดตาม”การเคลื่อนไหว”ที่เห็นและเป็นอยู่นับแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา ยิ่งรับรู้ได้ว่าการรุกเข้าไปใน “ธรรมกาย” ก็ใช่ว่าจะง่ายดาย

ที่ว่าเหมือน”ปอกกล้วยเข้าปาก”ก็ไม่แน่เสียแล้ว

 

เรื่องอย่างนี้ “ดีเอสไอ” กับ “ตำรวจ” อาจไม่ลึกซึ้ง แต่เชื่อได้เลยว่า “ทหาร” มีความลึกซึ้งมากกว่า

ตัวอย่าง 1 คือ ที่อาคารบุญรักษา

ตัวอย่าง 1 ซึ่งสดๆร้อนๆ คือ สถานการณ์อันเกิดขึ้นที่บริเวณประตู 4 ตอนบ่ายวันที่ 9 มีนาคม

ภาพที่เห็น คือ “กำแพงมนุษย์”

เป็นมนุษย์อันประกอบส่วนขึ้นจาก”พระภิกษุ”ในชุดเหลืองอร่าม ประสานเข้ากับ”ฆราวาส” เรียงแถวกันเข้ามา

ยิ่งกว่านั้น ยังกระหึ่มด้วยเสียง”สวดมนต์”

ในการสวดมนต์นั้นนอกจากปากจะทำหน้าที่อย่างต่อเนื่องไม่มีขาดตอน ด้วย”สมาธิ”อันมั่นแน่ว

ยังเคลื่อนเข้ามาพร้อมกับ”มือ”อันพนม

ต่อให้เคียดแค้นและชิงชังสาวก”ธรรมกาย”อย่างรุนแรงล้ำลึกก็ยากอย่างยิ่งที่จะเผชิญหน้าได้อย่างปกติ

จำเป็นต้อง”พนมมือ” ขึ้น “รับ”

 

จึงไม่เพียงแต่ “ทหาร” จะตัดสินใจถอยเมื่อประสบเข้าที่บริเวณพื้นที่อาคารบุญรักษา

หากบริเวณประตู 4 ก็ต้อง “ถอน”

นี่มิได้เป็นสงคราม”ป้อมค่าย”อันร่ำเรียนกันในตำรายุทธวิธีทั่วไปซึ่งพัฒนามาจากความจัดเจนของนโปเลียน

หากแต่เป็นสงคราม”จิตวิทยา”มากกว่า

หากจะทำให้ “งานเลี้ยงต้องเลิกรา” หากจะทำให้ทุกอย่างต้อง “จบเกม” อย่างที่ต้องการโดยเร็ว

จำเป็นต้องพิชิต”ทางใจ” เป็น “ปฐม”

ต้องศึกษาความจัดเจนอัน “ขงเบ้ง” ได้มาในการทำศึกกับ”เบ้งเฮ็ก” ทางตอนใต้ของเสฉวน นั่นก็คือ ต้องเอาชนะ”ทางใจ”

หากไม่สามารถเอาชนะ”ทางใจ”ให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะพิชิตการยุทธ์”ธรรมกาย”ได้ตามต้องการ

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน