ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์เล่า หลานทำพานไหว้ครู “อนาคตใหม่” ถูกเรียกปรับทัศนคติ โวย สิทธิวัยรุ่นถูกริดรอน!
จากกรณีที่ นักเรียนส่วนหนึ่งได้แสดงความคิดทางด้านการเมือง โดยใช้พานไหว้ครูเป็นสื่อนำความคิดของพวกเขา ทำให้ปรากฎภาพพานนาฬิกายืมเพื่อน พานหีบบัตรเลือกตั้ง พานพรรคอนาคตใหม่ พานรถถัง รวมไปถึง พานไหว้ครูที่เปรียบเทียบคะแนนเสียง สว.250 เสียง กับคะแนเสียงของประชาชน ซึ่งถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
โดยจากรณีนี้ ก็มีกระแสข่าว เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ เดินทางเข้าไปที่โรงเรียนโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย เข้าพบนักเรียน ที่ทำพานไหว้ครูที่มีลักษณะล้อการเมือง พร้อมขอความร่วมมือให้ลบภาพพานออกจากสื่อโซเชียลทั้งหมด จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยทางกองทัพ ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ไม่ใช่เป็นคำสั่งจากทางการแต่อย่างใด ด้านตำรวจในท้องที่ ก็ได้เปิดเผยว่า ตนแค่ส่งลูกน้องไปทำหน้าที่ตรวจสอบความเรียบร้อยเท่านั้น
- อ.นิติศาสตร์ มธ. ยันนักเรียนทำพานล้อการเมืองไม่ผิด เตือนทหารอย่าขู่เด็ก ระวังเจอฟ้องกลับ
- แจงแล้ว! ปมเจ้าหน้าที่บุกรร.หนองคาย ขอเด็กลบรูปพานไหว้ครู ยันกองทัพบกไม่ได้สั่ง
- ตร.แจงแล้ว! ปมเจ้าหน้าที่บุก ร.ร.ที่หนองคาย สั่งเด็กลบรูป พานไหว้ครูล้อการเมือง
แต่ล่าสุด ก็มีอีกกรณีหนึ่ง ที่ถูกแชร์ว่อนทั่วโลกออนไลน์อีกกรณี โดยผู้ใช้เฟซบุ๊ก JJ Jub Matheson ได้โพสต์ภาพพานไหว้ครู พร้อมคำบรรยายภาพ เปิดการเข้าถึงเป็นแบบสาธารณะ เล่าเรื่องราวที่หลานของตนเองทำพานไหว้ครู แต่ดันถูกครูเรียกไปทำในสิ่งที่เรียกว่า “การปรับทัศนคติ”
โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กรายดังกล่าว ได้เล่าว่า “สงสารหลาน สงสารเด็ก อยู่แค่ ม.3 อายุ 14 ปี ทำพานไหว้ครู ด้วยมติทั้งห้องจนได้มาซึ่งไอเดียนี้ แต่โดนครูเรียกไปปรับทัศนคติซะงั้น สิทธิเสรีภาพของเด็กยังถูกริดรอนได้ขนาดนี้เชียวหรือ ขนาดเด็กรุ่นใหม่ยังตื่นตัวทางการเมือง สะท้อนให้สังคมได้เห็นอะไรบ้าง?
การเมืองมันไม่ใช่เรื่องเฉพาะของคนที่มีอายุหรือผู้ใหญ่
คนเก่งคนจบสูง นักวิชาการ นักการเมืองหรือคนเจนจัดทางการเมืองเท่านั้นที่จะมาวิพากษ์วิจารณ์การเมืองได้ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นได้เท่าเทียมกัน ระบบการศึกษาไทยยังเป็นอะไรเดิมๆ ห้ามเก่งกว่าครู ห้ามเถียง ห้ามวิจารณ์ ห้ามเกินไปกว่าตำราที่สอน ไม่เหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ปล่อยให้เด็กๆได้แสดงความคิดเห็นได้อย่างกว้างขวางเต็มที่ เวลาครูถามอะไรนักเรียนแย่งชิงยกมือตอบแบบแทบจะได้ตบกันตายในห้อง (นี่คือคำเปรียบเทียบให้เห็นว่าเด็กๆตื่นตัวในสิทธิของตัวเองขนาดไหน)
แต่หันกลับมามองที่การศึกษาไทย นักเรียนไทยส่วนมาก จะอายที่จะกล้ายกมือตอบ เพราะกลัวผิด กลัวไม่ถูกใจ กลัวพูดไปแล้วขายหน้า กลัวโดนหักคะแนน กลัวโดนเพื่อนล้อ อะไรๆก็กลัวไปหมด เด็กๆอยู่ในภาวะแบบนี้จนเคยชินแล้ว เพราะถูกปิดกั้นมาตลอด
ส่วนตัวดิฉันอายุก็เริ่มมากแล้ว ไม่ทราบว่าบรรยากาศในห้องเรียนปัจจุบันได้ต่างจากเดิมที่พบเจอหรือไม่นะคะ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ครู-อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลาย จะมองเห็นปัญหา และคิดพัฒนาปรับปรุง หัดเปิดใจรับในการแสดงออกทางความคิดของเด็ก อย่าตัดสินการแสดงความคิดเห็นของเด็กในเชิงลบเสมอไป มันไม่ใช่ความก้าวร้าวเสมอไป แต่อาจจะเป็นความอัดอั้นตันใจที่เด็กๆมีอยู่ก็ได้นะคะ”