ศาลพิพากษาคดีถีบจยย.ล้มฉุดข่มขืนทำร้ายน้องสโนว์ตาย สั่งประหารชีวิตผู้ใหญ่บ้านที่กาฬสินธุ์คนลงมือก่อเหตุพร้อมให้ชดใช้ 2.4 ล้านบาท ระบุพฤติการณ์ทำร้ายผู้ตายแล้วข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ถือว่าเป็นความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย ด้านครอบครัวผู้ตายร่ำไห้ที่ทวงความยุติธรรมสำเร็จ

เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการตัดสินคดีนายกฤติเดช ระเวงวรรณ ผู้ใหญ่บ้านสีถาน หมู่ที่ 15 ต.ดงลิง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ผู้ต้องหาข่มขืนกระทำชำเรา และทำให้น.ส.ฤดีวัลย์ พลประสิทธิ์ ถึงแก่ความตาย ซึ่งศาลจังหวัดกาฬสินธุ์นัดฟังคำพิพากษาในเวลา 09.00 น. ตั้งแต่ในช่วงเช้าตรู่ นายกฤษณ์ นางลำไย พลประสิทธิ์ พ่อแม่น้องสโนว์ และน.ส.ภัทรานิตย์ พลประสิทธิ์ พี่สาว และญาติๆ กว่าหนึ่งร้อยคน เดินทางเข้ามาเฝ้าติดตามคดี ขณะที่ฝ่ายจำเลยนั้น ญาติพี่น้องได้เดินทางมาพร้อมนายวิรัช พิพรพงษ์ ทนายความ

สำหรับคดีนี้อัยการฝ่ายโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลย ข้อหาข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษ ร้าย เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ซึ่งตั้งแต่วันที่ 4 มิ.ย.2559 ศาลได้ดำเนินการพิจารณาคดีสืบพยานฝ่ายโจทก์ 40 ปากพร้อมเอกสารกว่าหนึ่งร้อยชิ้น และสืบพยานฝ่ายจำเลยจำนวน 11 ปาก

การอ่านคำพิพากษาเริ่มขึ้นเวลา 10.00 น. โดยใช้เวลาอ่านเกือบ 2 ชั่วโมง ซึ่งศาลมีคำพิพากษา นายกฤติเดช จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 276 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 277 ทวิ (2), 290 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต และให้จำเลยชำระเงิน 2,390,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 23 ธ.ค. 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

สำหรับคำพิพากษามีดังนี้ คดีหมายเลขดำที่ 2112/2559 ลงวันที่ 30 มี.ค. พนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ โจทก์ นางลำไย พลประสิทธิ์ โจทก์ร่วมที่ 1 นายกฤษ พลประสิทธิ์ โจทก์ร่วมที่ 2 ระหว่างจำเลย นาย กฤติเดช ระเวงวรรณ ต่อความผิดต่อชีวิต ข่มขืนกระทำชำเรา

โจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 277 ทวิ, 290 จำเลยให้การปฏิเสธ

พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ โจทก์ร่วมทั้งสอง และจำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นจึงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2558 เวลา 18.40 น. น.ส.ฤดีวัลย์ พลประสิทธิ์ ผู้ตาย ขับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ขนว ร้อยเอ็ด 443 จากโรงเรียนร่องคำเดินทางกลับบ้านไปตามถนนสายบ้านสีถาน-บ้านโนนเมือง ต.ดงลิง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุมีคนร้ายขับรถจักรยาน ยนต์เข้าไปเบียดชนและใช้เท้าถีบรถของผู้ตายจนเสียหลักล้มลงข้างถนน จากนั้นคนร้ายดึงลากตัวผู้ตายเข้าไปในทุ่งนาแล้วบีบคอและชกต่อยบริเวณท้อง ลำตัว และใบหน้าผู้ตาย แล้วคนร้ายใช้นิ้วสอดใส่ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศผู้ตาย ผู้ตายต่อสู้ขัดขืน คนร้ายจึงชกต่อยบริเวณท้องผู้ตาย จนเป็นเหตุให้ผู้ตายตับฉีกขาด ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา

ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ โจทก์มีพยานบุคคลเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุ เห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์แล่นติดตามรถของผู้ตายตั้งแต่ปากทางเข้าบ้านสีถาน ไปจนถึงบริเวณที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุผู้ตายโทรศัพท์แจ้งบิดามารดาไปรับบริเวณที่เกิดเหตุ และเล่าให้บิดามารดาฟังว่า ผู้ตายกัดที่มือคนร้ายและใช้มือบีบลูกอัณฑะคนร้าย คนร้ายมีอาการเจ็บปวดที่ลูกอัณฑะ จึงชกที่ท้องผู้ตายหลายครั้งแล้ววิ่งไปขับรถจักรยานยนต์ไปทางบ้านสีถาน

ต่อมาในระหว่างที่จำเลยเข้าร่วมประชุมเพื่อสืบหาตัวคนร้าย มีผู้สังเกตเห็นร่องรอยบาดแผลที่นิ้วหัวแม่มือข้างขวาของจำเลย จึงถ่ายรูปบาดแผลดังกล่าวส่งให้เจ้าพนักงานตำรวจ เจ้าพนักงานตำรวจจึงเชิญตัวจำเลยไปตรวจร่างกาย ผลการตรวจพบบาดแผลที่นิ้วหัวแม่มือข้างขวาของจำเลย และลูกอัณฑะจำเลยมีอาการบวม จำเลยอ้างว่าบาดแผล ดังกล่าวเกิดจากหนูกัด ผู้เชี่ยวชาญด้าน การชันสูตรพลิกศพและสัตวแพทย์ตรวจดูภาพถ่ายบาดแผลดังกล่าวแล้ว มีความเห็นว่าไม่ใช่บาดแผลที่เกิดจากหนูกัด แต่บาดแผล เข้ากับรอยขบกัดของฟันมนุษย์ได้

นอกจากนี้ เจ้าพนักงานตำรวจได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า มีรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน ขคธ กาฬสินธุ์ 185 จอดอยู่ที่บ้านของบิดามารดาจำเลย โดยมีพยานบุคคลเคยเห็นจำเลยใช้รถต้องสงสัยคันดังกล่าว พนักงานสอบสวนจึงนำรถคันต้องสงสัยและรถของผู้ตายไปตรวจเปรียบเทียบร่องรอยการชนปรากฏว่ารถทั้งสองคันมีร่องรอยความเสียหายที่เข้ากันได้

พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียบ ขนว ร้อยเอ็ด 443 จากโรงเรียนร่องคำเดินทางกลับบ้านไปตามถนนสายขอนแก่น-โพนทอง เมื่อไปถึงปากทางเข้าบ้านสีถานได้เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสายบ้านสีถาน-บ้านโนนเมือง ในขณะนั้นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน ขคธ กาฬสินธุ์ 185 แล่นสวนทางกับรถของผู้ตาย จำเลยเห็นผู้ตายจึงขับรถย้อนกลับไปไล่ติดตามรถของผู้ตายจนถึงที่เกิดเหตุแล้วขับรถเข้าไปเบียดชนและใช้เท้าถีบรถของผู้ตายจนเสียหลักล้มลงข้างถนน

จำเลยลงจากรถเข้าไปดึงตัวผู้ตายไปที่บริเวณทุ่งนาแล้วทำร้ายผู้ตายโดยการบีบคอ ชกต่อยที่ท้อง ลำตัว และใบหน้าผู้ตาย และใช้นิ้วสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศผู้ตาย ในขณะที่จำเลยใช้มือข้างขวาปิดปากผู้ตายไม่ให้ส่งเสียงดัง ผู้ตายกัดที่นิ้วหัวแม่มือข้างขวาของจำเลยและใช้มือบีบลูกอัณฑะจำเลย จำเลยจึงชกต่อยที่ท้องผู้ตายแล้วขับรถหลบหนีไปทางบ้านสีถาน

การที่จำเลยใช้นิ้วสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศผู้ตาย ถือว่าเป็นการใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศผู้ตาย จึงเป็นการกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง พฤติการณ์ที่จำเลยทำร้ายผู้ตายแล้วข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ถือว่าเป็นความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายและฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตายตามฟ้อง

พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 276 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 277 ทวิ (2), 290 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตายซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต และให้จำเลยชำระเงิน 2,390,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมทั้งสอง

ทั้งนี้ ภายหลังตัดสินคดีผู้สื่อข่าวรายงานว่าครอบครัวพลประสิทธิ์ร้องไห้ด้วยความดีใจและพอใจในผลคำตัดสินต่อกระบวนการยุติธรรม นางลำใย-น.ส.ภัทรานิตย์ พลประสิทธิ์ แม่และพี่สาวของน้องสโนว์ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นวันที่ทวงเอาความยุติธรรมให้แก่น้องสโนว์ เพราะตลอดระยะเวลา 464 วันครอบครัวมีความทุกข์ทรมาน หวังเพียงว่ากระบวนการยุติธรรมจะสามารถลงโทษคนร้ายได้

ขณะที่นายวิรัช พิพรพงษ์ ทนายฝ่ายจำเลย กล่าวว่า คดีนี้ในส่วนของจำเลยก็เตรียมที่ต่อสู้คดีโดยจะยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน หรือไม่อาจจะขอขยายเวลาในการอุทธรณ์ ซึ่งก็จะต้องตรวจเอกสารสำนวนคำพิพากษาก่อน ส่วนจะหยิบยกประเด็นไหนมาต่อสู้ก็คงต้องตรวจคำพิพากษาก่อน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน