เมียทำใจครบ 3 ปี “บิลลี่” หายตัวไป คงไม่ได้เจอหน้าแล้ว แต่อยากรู้ว่าอยู่ตรงไหนไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่ก็ตาม หวังพึ่งความยุติธรรม ไม่อยากให้เรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นกับใคร เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมจัดเสวนา จี้ดีเอสไอเร่งสอบสวนติดตามความคืบหน้า ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรมยันนายกฯ สั่งการดีเอสไอรับคดีทนายสมชาย นีละไพจิตร และบิลลี่เป็นคดีพิเศษ เผยดีเอสไอลงพื้นที่มาพูดคุยกับแม่บิลลี่แล้ว พร้อมเรียกร้องนายกฯ ดันร่างพ.ร.บ.ป้องกันการซ้อมและทรมานบังคับบุคคลให้สูญหาย นักวิชาการจี้เร่งแก้ปัญหาพื้นที่อุทยานและที่ดินทำกินทับซ้อน หนุนกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ยันพื้นที่รอยต่อไทย-พม่า ชาวกะเหรี่ยงอยู่มานับร้อยปีแล้ว ด้านผู้ประสานงานเครือข่ายจี้ภาครัฐออกกฎหมายคุ้มครองช่วยเหลือผู้ยากไร้ที่ได้รับผลกระทบและโดนละเมิดสิทธิชุมชน ระบุมติครม. ในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงเป็นเครื่องมือหนึ่งในการหาทางออก

เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่ห้วยกระซู่ ต.ยางน้ำกลัดเหนือ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมเขตงานตะนาวศรี จัดกิจกรรมครบรอบ 3 ปี การหายไปของบิลลี่ พอลละจี รักจงเจริญ แกนนำกะเหรี่ยงที่หายตัวไปเมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2557 โดยมีชาวบ้านในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ ผู้ประสานงานเครือข่าย รวมถึง มึนอ พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาบิลลี่ พร้อมลูกสาวอีก 3 คนร่วมงาน ช่วงเช้ามีพิธีไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อบอกกล่าวการใช้พื้นที่จัดงาน พร้อมจัดกิจกรรมรณรงค์เรื่องบุคคลที่โดนกระทำ การเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเรื่องสิทธิชุมชนและการมีส่วนร่วมของชาวบ้านในพื้นที่ทำกิน โดยมีนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายภาคส่วนร่วมพูดคุย ขณะที่ภาคบ่ายจัดพิธีรดน้ำขอพรผู้ใหญ่

อ.ภัทรมน สุวพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่าปัญหาในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น เรื่องแนวเขตอุทยานกับแนวเขตพื้นที่ทำกินของชาวบ้านยังไม่ชัดเจน เกิดการทับซ้อนกันหลายส่วน ปัญหามา จากการขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ตั้งแต่การประกาศเป็นอุทยาน เมื่อปีพ.ศ.2524 โดยไม่เคยมีการลงพื้นที่สำรวจว่าชาวบ้านทำกินในพื้นที่นั้นๆ หรือไม่ นอกจากนี้ ประชาชนยังไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ ทำให้สร้างความขัดแย้งจนมีการยิงอ.ทัศน์กมล โอบอ้อม ถัดจากนั้นก็เกิดกรณีบิลลี่หายสาบสูญไป พื้นที่แก่งกระจานมีปัญหาการขาดการมีส่วนร่วมมาตั้งแต่โครงการเขื่อนแก่งกระจาน จนกระทั่งการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

อ.ภัทรมนกล่าวต่อว่า เนื่องจากพื้นที่นี้ เป็นพื้นที่รอยต่อพรมแดนระหว่างไทย-พม่า มีหลักฐานว่าชาวกะเหรี่ยงอยู่ในพื้นที่มาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว ตั้งแต่สมัย ร.5 วันนี้ครบรอบ 3 ปีที่บิลลี่หายไป ชาวบ้านในพื้นที่ยืนยันความต้องการให้ปักเขตอย่างชัดเจนระหว่างพื้นที่อุทยานกับพื้นที่ชุมชน ส่วนทางบ้านกลอย ปู่คออี้ก็ต้องการกลับไปอยู่ที่เดิมเพราะปู่เกิดที่นั่นและมีหลักฐานการอยู่อาศัย การที่ปู่คออี้มาอยู่ข้างล่างก็ไม่สบายใจและยังคงพูดกับตนแบบเดิมเนื่องจากถูกแย่งพื้นที่ทำกินที่หมู่บ้านโป่งลึก

ด้านนายเกรียงไกร ชีช่วง ผู้ประสานงานเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมเขตงานตะนาวศรี กล่าวว่า การจัดงานในวันนี้เพื่อสื่อสารต่อสาธารณะเกี่ยวกับประเด็นที่นักปกป้องสิทธิลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหาของชุมชนหรือสังคม และถูกบางสิ่งบางอย่างทำให้สูญหายหรือเกิดการทำร้าย โดยหลักจะเป็นการรณรงค์เพื่อให้รัฐออกกฎหมายหรือกลไกคุ้มครองช่วยเหลือผู้ยากไร้ ผู้ได้รับผลกระทบ หรือผู้โดนละเมิดสิทธิ์ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าประเด็นบิลลี่ที่เขาพยายามเรียกร้องสิทธิชุมชนดั้งเดิมให้มีพื้นที่ดำรงอยู่ของวัฒนธรรมกะเหรี่ยง วาระครั้งนี้มุ่งไปที่ทางออกเรื่องการจัดการที่ดินแบบมีส่วนร่วม เพื่อเติมเต็มให้ชุมชนมีวิธีการหรือรูปแบบที่เป็นทางเลือกที่เขาจะได้คุยกับภาครัฐ อย่างน้อยในบางพื้นที่กำลังทำข้อเสนอเรื่องการแก้ไขปัญหาทั้งหมด โดยจะนำประเด็นหรือแนวทางเหล่านี้ไปหารือกับภาครัฐ มติคณะรัฐมนตรีในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงเพื่อแก้ปัญหา 3 ส.ค. 2553 จะเป็นเครื่องมือหนึ่งในการหาทางออก

นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่าหลังจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษดีเอสไอจะนำคดีดังกล่าวมาเป็นคดีพิเศษนั้น เข้าใจว่าเนื่องจากไทยถูกสอบถามจากนานาประเทศในการประชุมสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของยูเอ็น โดยผู้แทนของประเทศไทยแจ้งว่านายกรัฐมนตรีสั่งการให้ดีเอสไอรับคดีทนายสมชาย นีละไพจิตร และบิลลี่ พอลละจี รักจงเจริญ เป็นคดีพิเศษ ซึ่งทางดีเอสไอลงพื้นที่มาคุยกับแม่บิลลี่ ส่วนที่มีการกล่าวอ้างว่าการที่ดีเอสไอไม่รับเป็นคดีพิเศษในตอนแรกเนื่องจากภรรยาของบิลลี่เป็นภรรยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่ได้จดทะเบียนสมรสนั้นเป็นเพียงคำกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ เพราะในหนังสือตอบปฏิเสธไม่รับเป็นคดีพิเศษจากดีเอสไอถึงภรรยาของบิลลี่ไม่ได้ระบุเหตุผล ภรรยาของบิลลี่มีสิทธิและอำนาจที่จะยื่นคำร้องต่อดีเอสไอในฐานะแม่ของลูกบิลลี่ ซึ่งบิลลี่รับรองบุตรทั้ง 5 คนโดยให้ใช้นามสกุลของตนเอง จึงอยากให้ดีเอสไอเร่งพิจารณารับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษโดยเร็ว และเร่งสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุการหายไปของบิลลี่และผู้ที่ทำให้บิลลี่หายไป เพื่อนำความชัดเจนออกมาโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ ขอเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ป้องกันการซ้อมทรมานและบังคับบุคคลให้สูญหาย และยืนยันส่งร่างพ.ร.บ. ดังกล่าวกลับสู่การพิจารณาของสนช.โดยเร็วที่สุดหลังจากถูกวิปสนช.ส่งกลับมา

ขณะที่ มึนอ น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาบิลลี่กล่าวว่า ในเวลานี้ตนต้องเปลี่ยนหน้าที่เป็นคนดูแลทุกอย่าง เวลาต้องออกจากบ้านจะให้แม่มาดูแลลูกๆ แทน ทั้งที่แต่ก่อนจะช่วยกันเลี้ยง แต่คราวนี้ต้องกลายเป็นภาระแม่ไปด้วย โดยจะส่งให้เด็กๆ เรียนถึงป.6 และส่งให้เรียนจบเท่าที่จะส่งเสียได้

“ส่วนคดีพี่บิลลี่ ล่าสุดทางเจ้าหน้าที่มา สอบปากคำเพิ่มเติมกับแม่ของพี่บิลลี่และ ว่าจะรับเป็นคดีพิเศษ เชื่อว่าถ้าเจ้าหน้าที่ดีเอสไอติดตามจะให้ความคืบหน้าได้ สิ่งที่เราทำอยู่นี้เรามาช่วยกันแก้ไข ไม่ใช่สร้างปัญหาให้เพิ่มขึ้น อยากให้หันหน้าเข้ามาแก้ปัญหาร่วมกัน ไม่อยากให้เรื่องราวแบบพี่บิลลี่ไปเกิดขึ้นกับใคร 3 ปีผ่านมาคิดว่าคงไม่ได้เจอพี่บิลลี่แล้ว แต่ยังหวังความยุติธรรม อย่างน้อยให้เราได้รับรู้ว่าพี่บิลลี่อยู่ตรงไหน ไม่ว่าเขาจะมีชีวิตหรือเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม” ภรรยาบิลลี่กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน