แฉ “เปรี้ยว” รับใบสั่งฆ่าจากแก๊งยาพม่า ลงมือหั่นโหด พาเพื่อนร่วมแก๊งอีก 2 หนีซุกฝั่งท่าขี้เหล็กตร.ประสาน “เมียนมา” ช่วยล่า “วศิน” ร่ำไห้ขอขมา “แม่แอ๋ม” นำตัวทำแผนฯ หวิดโดนรุมประชาทัณฑ์ ตร.สอบเบนซ์พบช่วยขาย มือถือเหยื่อ เล่ายิบสัมพันธ์ 3 สาวแก๊งเปรี้ยว มาเที่ยว กทม.วันที่ 24 พ.ค. ก่อนบินกลับขอนแก่นด้วยกันวันรุ่งขึ้น ตร.อึ้งเจอผู้หญิงนั่งท้ายรถคันก่อเหตุ

จากกรณีกลุ่มคนร้ายร่วมกันก่อเหตุฆาตกรรม น.ส.วริศรา กลิ่นจุ้ย หรือ น้องแอ๋ม พนักงานร้านคาราโอเกะ สถานบันเทิงชื่อดังแห่งหนึ่งในจ.ขอนแก่น แล้วหั่นศพเป็น 2 ท่อน และตัดแขนข้างซ้าย นำไปฝังดินทิ้งไว้ในพื้นที่ บ.โนนสง่า ม.9 ต.คำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น จนมีผู้มาพบศพ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับ 4 คนร้าย และสามารถจับกุม ผู้ต้องหาได้แล้ว 2 ราย นอกจากนั้นยังเตรียมออกหมายจับเพิ่มอีก 1 รายตามข่าว

สำหรับผู้ต้องหาที่ออกหมายจับจากศาลขอนแก่น ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตาย หรือเหตุแห่งการตาย ปล้นทรัพย์ และรับของโจร และถูกจับกุมแล้วคือ นายวศิน นามพรหม อายุ 22 ปี โดยจับกุมได้ที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ในเขตนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว และน.ส.จิดารัตน์ พรหมคุณ อายุ 21 ปี ที่ติดต่อขอเข้ามอบตัวเมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ส่วนน.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือเปรี้ยว และน.ส.กวิตา ราชดา หรือเอิร์น หลบหนีไปประเทศเมียนมา โดยมีข้อมูลการผ่านแดนจากประเทศไทย ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) แม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา ส่วน ผู้ต้องหาอีก 1 คน ที่เตรียมออกหมายจับคือ น.ส.อภิวันท์ สัตยบัณฑิต หรือ แจ้ อายุ 28 ปี

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 31 พ.ค. พ.ต.อ.พงศ์ฤทธิ์ คงศิริสมบัติ ผกก.3 บก.สส.ภ.4 กล่าวว่า มีข้อมูลยืนยันเรื่องการผ่านแดน ของน.ส.อภิวันท์ ผู้ต้องหาคนที่ 5 ที่นายวศินและน.ส.จิดารัตน์ให้การซัดทอด โดยพบว่า น.ส.อภิวันท์เดินทางออกจากประเทศไทยอย่างถูกต้องด้วยบัตรผ่านแดนหรือบัตรบอร์เดอร์พาส เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ด่าน ตม.แม่สาย ซึ่งขณะนี้ชุดสืบสวนสอบสวนได้ประสานขอข้อมูลการเดินทางดังกล่าวจาก เจ้าหน้าที่ที่ อ.แม่สายแล้ว และพบว่าเดินทางไปพร้อมกับน.ส.เปรี้ยวและน.ส.เอิร์น ซึ่งข้อมูลทั้งหมดเจ้าหน้าที่ยังคงประสานการทำงานร่วมทั้ง 2 ประเทศ เพื่อนำไปสู่การจับกุมผู้ร่วมขบวนการฆ่าน้องแอ๋มให้ได้ทั้งหมด

พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ ผกก.ตม.เชียงราย กล่าวว่า ผู้ต้องหาที่เดินทางออกไปได้ออกไปนอกประเทศดังกล่าวอยู่ในช่วง ที่ยังไม่มีหมายจับทำให้ระบบไม่แจ้งเตือนออนไลน์ให้เจ้าหน้าที่ทราบ แต่ในปัจจุบันหากพบตัวก็จะจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายทันทีต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า ช่วงเย็นวันที่ 30 พ.ค. ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยโดยการประสานงานของหน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา ระดับท้องถิ่น หรือทีบีซีฝ่ายไทย ได้หารือกับนายตำรวจของ จ.ท่าขี้เหล็ก อย่างเคร่งเครียดบริเวณพรมแดน เพื่อขอให้ทางเมียนมาได้ออกสืบสวนและติดตามหาตัวผู้ต้องหาทั้งหมดอีกครั้ง หลังจากการประสานงานครั้งแรกพบว่าทั้งหมดได้หายไปจากแหล่งกบดานล่าสุดที่ร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นอาคารสูงหลายชั้นตั้งอยู่ห่างจากชายแดนเข้าไปประมาณ 6 กิโลเมตร ใกล้ถนนสายท่าขี้เหล็ก-เชียงตุง คาดว่าเป็นร้านที่ทั้งหมดอ้างจะไปสมัครทำงาน ก่อนหายตัวไปเมื่อช่วงค่ำวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้หลังการหารือทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเมียนมาจำนวนหนึ่งได้เข้าไปตรวจสอบที่ร้านคาราโอเกะดังกล่าวแล้ว

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า มีชายคนหนึ่งชื่อย่ออักษร ก. ได้นำรถยนต์พาผู้ต้องหาทั้งหมดเดินทางออกไป โดยชายคนดังกล่าวมีภรรยาอยู่ที่เมืองโกซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของ จ.ท่า ขี้เหล็ก ก่อนถึงเมืองเชียงตุง ทั้งนี้ทาง เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเมียนมาระบุว่า จะออกติดตามหาตัวผู้ต้องหาที่หลบหนีไปจากฝั่งไทยอย่างเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ เพราะนอกจากจะต้องคดีในฝั่งไทยแล้ว โดยบัตรบอร์เดอร์พาสของทั้ง 3 คน มีอายุอยู่ในประเทศเมียนมาได้ 7 วัน และจะหมดอายุในเวลาประมาณ 19.15 น.ของวันที่ 31 พ.ค. ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตม. จ.ท่าขี้เหล็ก ของเมียนมา เตรียมออกติดตามจับกุม เพราะถือว่าเข้าเมืองเมียนมาโดยไม่มีเอกสารรองรับ

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับเส้นทางหลบหนีของทั้งหมดเป็นไปได้หลายทาง โดยอาจจะหลบหนีไปทางเมืองโกซึ่งเป็นบ้านภรรยาของนาย ก. แต่ต้องผ่านด่านเมียนมาหลายจุด หรือไปทางเขตอิทธิพลของกลุ่มว้าทางทิศตะวันตกสู่เมืองสาด-เมืองโต๋น-เมืองยอน หรืออาจจะกบดานอยู่บริเวณชายแดนด้าน อ.แม่สาย อยู่ซึ่งคาดว่าจะทราบการหลบหนีชัดเจนขึ้นหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเมียนมาได้เริ่มออกปฏิบัติการแล้วในเร็วๆ นี้ต่อไป

เมื่อเวลา 12.00 น. วันเดียวกัน พ.ต.อ. ภาคภูมิ พิสมัย ผกก.สภ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น พ.ต.อ.พงศ์ฤทธิ์ คงศิริสมบัติ ผกก.สส.3 บก.สส.ภาค 4 ,พ.ต.ท.ศุภฤกษ์ สุวรรณราษฎร์ รองผกก.(สส.)สภ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบกว่า 30 นาย คุมตัวนายวศินไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ยังจุดที่ร่วมกันขุดหลุมฝังศพคนตาย ในป่าพื้นที่บ้านโนนสง่า ท่ามกลางความสนใจของชาวบ้าน ที่ทราบข่าว และเดินทางมาดูการทำงานของเจ้าหน้าที่กว่า 300 คน ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องกันพื้นที่เพื่อความปลอดภัย

โดยการทำแผนประกอบคำสารภาพเริ่มจากการที่นายวศินขับรถยนต์ซีอาร์วีถอยหลังจากถนนเข้าไปยังจุดที่ขุดหลุมประมาณ 30 เมตร การจอดรถ และยกถัง 2 ใบไปวาง โดยถังทั้ง 2 ใบใส่ถุงพลาสติกสีดำ ซึ่งภายในถุงมีร่างน้องแอ๋มที่ถูกหั่นเป็น 2 ท่อน จากนั้นเป็นขั้นตอนของการช่วยกันขุดหลุม การนำถังทิ้งลงไปในหลุม จนไปถึงขั้นตอนของการนำแผ่นสังกะสีมาปิด ท่ามกลางเสียงสาปแช่งของชาวบ้านที่ดังสนั่น ใช้เวลาในการทำแผนประมาณ 30 นาที จึงนำผู้ต้องหาขึ้นรถไปควบคุมตัวไว้ที่ สภ.เขาสวนกวางทันที โดยระหว่างคุมตัวกลับ ชาวบ้านต่างพากันวิ่งเข้ามาเพื่อจะทำร้าย แต่เจ้าหน้าที่สามารถนำ ผู้ต้องหาขึ้นรถได้ก่อน

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำนายวศินเข้ากราบขอขมากับนางสายรุ้ง กลิ่นจุ้ย มารดาของน้องแอ๋ม โดยมีพ่อและยาย รวมทั้งญาติของผู้ตายอยู่ภายในห้องสอบสวนด้วย โดยนายวศินก้มกราบเท้าแม่และยายน้องแอ๋ม พร้อมบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะกลายเป็นแบบนี้ ไม่คิดว่าจะเลวร้ายขนาดนี้ ขณะที่แม่น้องแอ๋มถามนายวศินว่า ทำไมถึงต้องฆ่ากันขนาดนี้ รู้เหตุผลหรือไม่ว่าทำไม

นายวศินบอกว่า ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรกัน และเพิ่งเคยเห็นแอ๋มวันที่เกิดเหตุคือวันที่ 23 พ.ค.เป็นวันแรก ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ซึ่งตอนที่คนอื่นๆ ลงมือก็พยายามห้ามแล้ว แต่ไม่เป็นผล ไม่มีใครฟัง

ขณะที่แม่น้องแอ๋มกล่าวว่า ทำไมจึงไม่ห้าม แรงผู้ชายเยอะกว่าแรงผู้หญิงอยู่แล้ว ถ้าจะห้ามมันก็ห้ามได้ โดยนายวศิน ตอบว่า “ผมไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้จริงๆ ครับ เพราะที่คุยกันตอนแรกแค่จะเอาไปปล่อยไว้ไกลๆ เท่านั้น

นางสายรุ้ง กลิ่นจุ้ย แม่ของน้องแอ๋ม กล่าวว่า หลังจากที่นายวศินขอขมาทั้งน้ำตาว่า ตนเองโกรธและโมโหมาก แต่ก็ไม่อาฆาต ไม่จองเวรซึ่งกันและกัน และอยากให้ผู้ต้องหาที่เหลือที่ร่วมกันก่อเหตุฆ่าน้องแอ๋ม นั้นกลับใจตอนนี้ยังทัน กลับมารับกรรมที่ก่อไว้ ด้วยการเข้ามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ไม่อยากให้ใครเรียกน้องแอ๋มว่าเป็นสาวคาราโอเกะ เพราะน้องแอ๋มมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และได้เสียชีวิตแล้ว

นางสายรุ้งกล่าวด้วยว่า ยังคงยืนยันว่าลูกสาวไม่มีส่วนพัวพันกับคดียาเสพติด และเชื่อมั่นในตัวลูกสาวว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ทั้งนี้จากการพูดคุยกันทราบเพียงว่า ในช่วงที่น้องแอ๋มคบหากับน้องป๊อปปี้ อายุ 22 ปีนั้น ป๊อปปี้เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและตรวจปัสสาวะ ก่อนที่จะถูกจับกุมในคดีเสพยาเสพติด จากนั้นก็ไม่ทราบว่ารายละเอียดใดๆ ดังนั้นการที่ระบุว่าลูกสาวพัวพันกับคดียาเสพติด จนกลายมาเป็นปมสังหารครั้งนี้ โดยส่วนตัวและครอบครัวไม่เชื่อในประเด็นนี้อย่างแน่นอน

พ.ต.ท.ศุภฤกษ์ กล่าวว่า คำให้การของ ผู้ต้องหาซึ่งทำหน้าที่ขับรถยนต์ซีอาร์วี สีบรอนซ์เทาไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน โดยรถยนต์คันดังกล่าว น.ส.เปรี้ยวเช่ารถมาจากบริษัทรถเช่าในเมืองขอนแก่น เพื่อมารับน.ส.แอ๋ม แล้วลงมือก่อเหตุในรถ จนน.ส.แอ๋ม สิ้นใจในรถ จากนั้นได้ขับรถวนในเมืองขอนแก่น หาซื้อวัสดุที่จะนำไปใส่ศพคนตาย โดยนำร่างแอ๋มไปที่รีสอร์ตในพื้นที่บ้าน หัวถนน ม.5 ต.พระลับ อ.เมือง จ.ขอนแก่น จาก นั้นน.ส.เปรี้ยวก็ลงมือใช้เลื่อยหั่นศพ เมื่อหั่นศพเสร็จขนขึ้นรถไปฝังที่บ้านโนนสง่า ซึ่งเป็นบ้านของน.ส.เปรี้ยว จึงควบคุมตัวนายวศินมาทำแผนตามคำให้การ และยังคงคัดค้านการประกันตัวนายวศินในชั้นพนักงานสอบสวน

พ.ต.ท.ศุภฤกษ์กล่าวอีกว่า การสอบสวนน.ส.จิดารัตน์ หรือเบนซ์นั้น ยืนยันว่าในวันที่เกิดเหตุอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยคืนวันที่ 23 พ.ค. นายวศินพร้อมด้วยน.ส.เปรี้ยว และน.ส.เอิร์น ได้เดินทางไปหาที่กรุงเทพฯและพักด้วยกัน และในวันที่ 24 พ.ค. ทั้งหมดได้พากันไปที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในย่านรามอินทรา กรุงเทพฯ ก่อนที่นายวศินจะยื่นโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน 6 ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นของแอ๋ม โดยนายวศินบอกว่าน.ส.เปรี้ยวให้เอาไปขาย จึงนำไปขายในราคา 3,500 บาท เมื่อได้เงินมาก็นำไปใช้กินและเที่ยว และในคืนวันที่ 24 พ.ค. น.ส.แจ้ได้เดินทางไปสมทบ จากนั้นก็ไปเที่ยวในเขตกรุงเทพฯ พอวันที่ 25 พ.ค. ทั้งน.ส.เปรี้ยว น.ส.เอิร์น และน.ส.แจ้ ก็นั่งเครื่องบินกลับขอนแก่น ส่วนนายวศินนั่งรถทัวร์กลับขอนแก่นเช่นกัน ขณะที่ น.ส.เบนซ์นั่งรถทัวร์ไปทำงานที่จ.อุบลราชธานี

พ.ต.ท.ศุภฤกษ์กล่าวต่อว่า ในส่วนของน.ส.เบนซ์นั้น จากการสอบสวนมีความชัดเจนแล้วว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลงมือฆ่าหรือหั่นศพ เพราะภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่มีน.ส.เบนซ์อยู่ในรถหรือรับคนตายไปฆ่าทิ้ง จึงเกี่ยวข้องกันเฉพาะการขายโทรศัพท์มือถือของคนตายเท่านั้น ซึ่งในจุดนี้น.ส.เบนซ์ระบุทราบเพียงว่า โทรศัพท์มือถือเป็นของน.ส.เปรี้ยวตามคำบอกเล่าของนายวศิน เมื่อทราบว่าถูกออกหมายจับ จึงติดต่อขอเข้ามอบตัวและให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

พ.ต.ท.ศุภฤกษ์ กล่าวอีกว่า ได้ส่งตัวน.ส.เบนซ์ฝากขังที่ศาลจังหวัดขอนแก่น ซึ่งหากญาติขอประกันตัว ตำรวจก็ไม่คัดค้าน แต่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ ส่วนการสอบสวนนายวศิน ในชั้นพนักงานสอบสวนยังต้องสอบสวนอย่างละเอียด เพราะถือเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญที่ร่วมอยู่ในการสังหารผู้ตาย และยังคงขอคัดค้านการประกันตัวต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับมูลเหตุในคดีนี้ มีข้อมูลยืนยันว่าผู้ตายถูกกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ สั่งฆ่าตัดตอน หลังนำข้อมูลของเครือข่ายขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ และขบวนการค้ายาเสพติดในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ไปแจ้งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาหลายรายในปี 2559 ในจำนวนนั้นมีสามีของน.ส.เปรี้ยวรวมอยู่ด้วย และคาดว่ากลุ่มนายทุนและเครือข่ายขบวนการค้ายาเสพติดอาจมีคำสั่งให้น.ส.เปรี้ยววางแผนก่อเหตุดังกล่าว

รายงานข่าวระบุอีกว่า ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับทั้งหมด ต่างรู้จักกับน.ส.เปรี้ยวเป็นอย่างดี และเป็นเพื่อนสนิทที่น.ส.เปรี้ยวไว้ใจ ในการร่วมลงมือก่อเหตุ จึงไม่มีใครกล้าที่จะคัดค้านหรือห้ามปรามการลงมือสังหารในครั้งนี้ ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 3 คนที่หลบหนีไปยังประเทศเมียนมานั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจมั่นใจว่ากลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดมีส่วนให้การช่วยเหลือ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะเร่งสืบสวนสอบสวนจับกุมต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงกลางดึกระหว่างที่เจ้าหน้าที่ได้นำรถยนต์ซีอาร์-วี สีบรอนซ์เงิน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ซึ่งเป็นพาหนะ ที่ผู้ต้องหาทั้งหมดใช้ในการก่อเหตุ มาจอดไว้บริเวณด้านหน้าอาคารที่ทำการ กก.3 ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและสื่อมวลชนต่างสังเกตเห็นผู้หญิงผมยาว นั่งอยู่บริเวณท้ายรถซึ่งเป็นจุดที่ผู้ต้องหานำร่างของผู้ตายที่ถูกฆ่าหั่นวางไว้ แต่นึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิง จนกระทั่งในช่วงก่อนการควบคุมตัวผู้ต้องหามาทำแผนประกอบคำรับสารภาพนั้น จึงได้มีการพูดคุยกันและสอบถามถึงเหตุการณ์ ดังกล่าว จึงทราบว่าไม่มีตำรวจหญิงร่วมคุมตัวผู้ต้องหามาด้วย จนกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ โดยบางส่วนเชื่อว่าน่าจะเป็นน้องแอ๋ม ที่ยังคงติดตามการสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีนี้

วันเดียวกัน นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบประวัติของน.ส.ปรียานุช กับพวก พบว่ามีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งเป็นผู้เสพและผู้ค้า ซึ่งในส่วนของน.ส.ปรียานุช ทราบว่าเป็นผู้ค้ารายย่อยและมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ใน จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาด้วย โดยมีการนำยาเสพติดเข้ามาขายในพื้นที่ให้กับกลุ่มเพื่อนที่ทำงานกลางคืนด้วยกัน อย่างไรก็ตามได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว เพื่อติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของน.ส.วริศรานั้น เราพบว่ามีประวัติเคยใช้ ยาเสพติดเช่นกัน และเป็นเพื่อนที่เคยทำงานกับกลุ่มผู้ต้องหาดังกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน