“เปรี้ยว-สวยหั่นศพ” โผล่ เคลื่อนไหวแล้ว แช็ตบอก ญาติยังปลอดภัยดี ตร. พบอีกเบาะแส มีผู้ชายไทย 3 คน พา 3 สาวผู้ต้องหา ออกจากคาราโอเกะท่าขี้เหล็ก ตรวจสอบประวัติ 1 คน ถูกจับคดียาเสพติด หนีประกันชั้นศาล แต่ ไม่น่ารู้จักกันมาก่อน คงไปเที่ยวแล้วพึงพอใจกัน ?เฉลิมเกียรติ? รองผบ.ตร. สั่งตรวจสอบเส้นทางการเงินค้ายา เชื่อได้ตัวทั้งหมดจากเมียนมา กลับมาดำเนินคดีในไทย (เปิดแช็ตเต็ม “เปรี้ยว” รู้ตัวว่าคงไม่รอด สั่งเสียพี่สาวเป็นครั้งสุดท้าย (ภาพชุด))

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ที่สำนักงานตำรวจ แห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผบ.ตร. กล่าวว่าสั่งการให้กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ปส.) ติดตามข้อมูล น.ส.ปรียานุช หรือเปรี้ยว โนนวังชัย และพวกรวม 3 คน ผู้ต้องหาคดีฆ่าหั่นศพ น.ส.วริศรา หรือแอ๋ม กลิ่นจุ้ย พนักงานสถานบริการบันเทิงใน จ.ขอนแก่น ที่หลบหนีไปยังประเทศเมียนมา โดยเฉพาะข้อมูลที่สำนักงานคณะกรรมการปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ระบุว่ากลุ่มผู้ต้องหามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนค้ายาเสพติดข้ามชาติรายใหญ่ ซึ่งสอดคล้องกับกองบังคับการตำรวจภูธร จ.ขอนแก่น ระบุว่ามีส่วนพัวพันกับยาเสพติดในพื้นที่

พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติกล่าวว่า กำชับให้ บช.ปส. ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก และทำงานร่วมกับ ป.ป.ส. โดยเฉพาะการตรวจสอบเครือข่ายและเส้นทางการเงินของผู้ต้องหา ยืนยันว่าการหลบหนีของผู้ต้องหาไปยังประเทศ เมียนมาไม่ใช่อุปสรรค เพราะสั่งการให้ บช. ภาค 5 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานกับทางการเมียนมา และผู้นำท้องถิ่นตรวจสอบ เส้นทางการหลบหนีและแหล่งกบดาน เชื่อว่าจะนำตัวกลับมาดำเนินคดีในไทยได้อย่างแน่นอน หลังเสร็จสิ้นกระบวนการของเมียนมา

ส่วนนายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่าสั่งการให้สืบประวัติ น.ส. ปรียานุช ตามพ.ร.บ.มาตรการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พร้อมทั้งตรวจสอบเส้นทางการเงินด้วย เนื่องจากน.ส. ปรียานุชโพสต์ภาพการใช้ชีวิตหรูหราและ มีเงินจำนวนมาก อีกทั้งยังเข้าไปเกี่ยวข้องกับ ยาเสพติด โดยจะสืบว่าน.ส.ปรียานุชเข้าไปเกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติดในเมียนมาอย่างไร และอยู่ในระดับไหนของเครือข่าย เบื้องต้นทราบเพียงว่าเป็นเพียงผู้ค้ารายย่อยเท่านั้น และหากเส้นทางการเงินไม่ซับซ้อน คาดว่าใช้ระยะเวลาไม่นานในการตรวจสอบ ถ้าพบว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จะอายัดและยึดทันที

ที่ บก.สส.บช.ภาค 4 จ.ขอนแก่น พล.ต.ต. เจริญวิทย์ ศรีวนิชย์ รอง ผบช.ภาค 4 ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดี กล่าวว่าจากการสืบสวนพบว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 คนเดินทางไปทำงานที่ร้านคาราโอเกะ จ.ท่าขี้เหล็ก เมื่อวันที่ 25 พ.ค. และคืนวันเดียวกัน มีนักท่องเที่ยวเป็นผู้ชายไทย 3 คน เข้าไปเที่ยวที่ร้าน แล้วนำตัวทั้ง 3 คนออกไปจากร้านและหายตัวไป โดยทราบว่าผู้ชาย 1 ใน 3 คนเป็นผู้ต้องหาคดียาเสพติด ถูกจับกุมที่ จ.ปทุมธานี และ จ.ศรีสะเกษ หลบหนีประกันในชั้นศาลมีภรรยาอยู่ที่ จ.ศรีสะเกษ ส่วนผู้ชายอีก 2 คน กำลังตรวจสอบชื่อและที่อยู่ และเกี่ยวกับแก๊งค้ายาเสพติดข้ามชาติหรือไม่

รองผบช.ภาค 4 กล่าวว่าเชื่อว่าผู้ชาย 3 คน ไม่รู้จักกับผู้ต้องหามาก่อน เป็นเพียงผู้ที่เข้าไปเที่ยวแล้วเกิดความพึงพอใจ ล่าสุดพบความเคลื่อนไหวของ น.ส.เปรี้ยว ที่ติดต่อมาหาญาติผ่านเฟซบุ๊กว่ายังปลอดภัยทั้ง 3 คน จึงเชื่อได้ว่ามีที่อยู่พักพิง และปลอดภัย เจ้าหน้าที่พยายามติดต่อผ่านญาติให้นำผู้ต้องหาทั้ง 3 คนเข้ามอบตัว เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ต้องหาเอง

ส่วน พล.ต.ต.ยรรยง เวชโอสถ ผบก.สส. ภาค 4 กล่าวว่ามีรายงานชัดเจนว่ายังหลบหนีอยู่ที่เมียนมา จึงประสานไปยังชุดสืบสวนสอบสวน สภ.แม่สาย ด่าน ตม.แม่สาย จ.เชียงราย คณะกรรมการประสานงานส่วนท้องถิ่นชายแดนไทย-เมียนมา ระดับท้องถิ่น และทูตตำรวจไทยประจำเมียนมา ให้ประสานต่อไปยังทางการเมียนมาช่วยติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหากลับมาดำเนินคดีในไทย

พล.ต.ต.ยรรยงกล่าวว่าโดยเชื่อว่ามีผู้ให้ที่พักพิงและช่วยเหลือ และขณะนี้ผู้ต้องหามีโทษตามกฎหมายเมียนมาแล้วในข้อหาหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย หากถูกทางการเมียนมาจับกุมจะถูกดำเนินคดี เมื่อแล้วเสร็จจึงจะส่งมอบตัวผู้ร้ายข้ามแดนมายังประเทศไทย นอกจากนี้ พล.ต.ท.จตุพล ปานรักษา ผบช.ภาค 4 ตั้งคณะทำงานเพิ่มขึ้นมาอีกชุด เพื่อสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมว่านอกจากผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ยังจะมีบุคคลใดเกี่ยวข้องอีกหรือไม่

ขณะที่ พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย ผกก.สภ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น กล่าวว่าสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องรวมแล้วกว่า 50 ราย โดยเฉพาะการสอบสวนครอบครัวผู้ตาย รวมไปถึงบุคคลอื่นทั้งหมดที่ถูกกล่าวอ้าง เพื่อหาหลักฐานและข้อมูลการเชื่อมโยงคดี รวมถึงครอบครัวและคนใกล้ชิดกับผู้ต้องหาทั้ง 3 คนที่ยังคงหลบหนีอยู่ จะถูกเชิญตัวมาสอบสวนทั้งหมดเช่นกัน

มีรายงานข่าวจากด่านชายแดน อ.แม่สาย จ.เชียงราย แจ้งว่าขณะนี้ตำรวจเมียนมาปล่อยตัวเจ้าของร้านโอโซน สปา แอนด์ คาราโอเกะ เป็นสถานที่ที่ 3 ผู้ต้องหาสาวไปสมัครทำงานก่อนจะหลบหนีไป และคนขับรถกระบะ สีขาว เป็นผู้จัดการร้านที่พาทั้ง 3 คน เดินทางจาก อ.แม่สาย ไปยัง จ.ท่าขี้เหล็ก เมื่อหัวค่ำ วันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยทั้งหมดให้ การปฏิเสธว่าไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ต้องหว่าไปก่อคดีฆ่าหั่นศพ และไม่ได้จงใจพาออกนอกประเทศ เพื่อช่วยหลบหนีคดี แต่อย่างใด โดยระบุว่าเป็นเพียงคนที่ไป สมัครงาน จึงพาไปพักใกล้กับร้านเท่านั้น

พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ ผกก.ตม. เชียงราย กล่าวว่าจากการตรวจสอบประวัติการเดินทางออกนอกประเทศของผู้ต้องหาทั้ง 3 คน พบว่าไม่เคยทำบอร์เดอร์พาส หรือหนังสือผ่านแดนชั่วคราวเดินทางด่านชายแดน อ.แม่สาย มาก่อนเลย จึงเป็นกระบวนการที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะต้องสืบสวนสอบสวนต่อไป สำหรับใบผ่านแดนชั่วคราวนั้น มีอายุแค่ 7 วันเท่านั้น และขณะนี้หมดอายุ ต้องกลับมาต่อหนังสือที่ฝั่งไทยเท่านั้น หากไม่มาต่ออายุจะเป็นผู้หลบหนีเข้าประเทศเมียนมา สำหรับโทษหลบหนีเข้าเมืองในเมียนมา หลังบอร์เดอร์พาสหมดอายุ คือจำคุก 6 เดือน

วันเดียวกัน ที่บ้านพักแม่ของ น.ส.กวิตา หรือเอิร์น ราชดา หนึ่งในผู้ต้องหาคดีฆ่าหั่นศพที่หลบหนีไปกับ น.ส.เปรี้ยว อยู่ใน ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยแม่ของน.ส.เอิร์นกล่าวว่า เอิร์นเป็นลูกสาวคนเดียว แต่ย้ายออกไปอยู่ห้องเช่าเพียงลำพังนานแล้ว นานๆ จะติดต่อหาแม่ ไม่ทราบว่าลูกสาวทำงานอะไร เคยเห็นน.ส.เปรี้ยวมารับลูกสาวที่บ้าน แต่ไม่ทราบว่าไปไหน หลังจากทราบข่าวลูกสาวร่วมกับเพื่อนก่อคดี แม่ก็ทุกข์ใจนอนไม่หลับ ความดันกำเริบ คิดว่าสาเหตุเกิดจากเชื่อเพื่อน และเพื่อนพาไปก่อเหตุ เพื่อนให้ทำอะไรทำตามหมด หากยังสงสารแม่ ขอให้เข้ามอบตัว

ตร.จับแล้ว 1 พระ 2 เณร และพวกอีก 2 คน สอบเค้นจนยอมรับสารภาพ อ้างแค้นถูกขโมยเงิน-พระเครื่อง กว่า 5 หมื่นบาท จึงร่วมกับเณรอีก 2 รูปล่อลวงมาใช้ท่อพีวีซีทุบตีจนตาย จากนั้นก็มาบวช ระบุเพื่อชดเชยความผิด แต่กลับนำพระพุทธรูปมาตั้งไว้ที่จุดฝังให้คนกราบไหว้ ผบช.ภาค 8 เผยเป็นแก๊งอิทธิพลคุมเงินวัด อดีตเจ้าอาวาสก็ถูกล็อกกุญแจขังมานาน 2 ปี ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับเงินวัด

จากกรณีชาวบ้านร้องเรียนผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ว่ามีสามเณรวัย 17 หายตัวไปจากวัดวังตะวันตก ต.ท่าวัง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช หลายเดือนโดยไม่สามารถติดตามตัวได้ ขณะที่เจ้าหน้าที่สอบสวนบุคคล 5 คน 1 ในนั้นมีพระสงฆ์ของวัดวังตะวันตกด้วย ซึ่งยอมรับว่าเป็นคนลงมือฆ่าเณรปลื้ม แล้วเอาศพไปฝังใต้ต้นตะเคียนภายในวัด แล้วจึงมาขอบวช ทั้งนี้พบว่าพระรูปดังกล่าวก่อนบวชทำหน้าที่เก็บค่าจอดรถของวัด และเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 มิ.ย. ที่วัดวังตะวันตก อ.เมือง จ.นครศรี ธรรมราช พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผบช.ภาค 8 พร้อมพล.ต.ต.วันชัย เอกพรพิชญ์ ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช และหน่วยกู้ภัยนคร ปิดกั้นบริเวณจุดที่ฝังศพสามเณรปลื้ม หรือสามเณรศุภโชค เอกเกียรติกุล อายุ 17 ปี เพื่อเตรียมที่จะขุดศพขึ้นมาชันสูตร โดยก่อนจะขุดศพ จนท.นำตัวสองผู้ต้องหาคือ นายเด่นชัย ภูมินิยม อายุ 36 ปี บ้านเลขที่ 4/1ม.3 ต.นา ทราย อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช หรืออดีตพระเด่นชัย และนายสุริยา กุศลสุข อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 84/2 ม.2 ต.ท่าปะจะ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช หรือสามเณรสุริยามาทำแผนประกอบคำรับสารภาพด้วย

สอบสวนผู้ต้องหาให้การว่าในคืนวันเกิดเหตุคือวันที่ 5 ม.ค. นำตัวสามเณรปลื้มเข้าไปใต้หอไตรอินทสุวรรณ ซึ่งเป็นสำนักงานของวัด จากนั้นใช้ท่อพีวีซีทุบตีสามเณรปลื้มจนบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะนำขึ้นรถกระบะเพื่อไปยังวัดแห่งหนึ่งที่ อ.ลานสกา แต่ระหว่างทางสามเณรปลื้ม มรณภาพ จึงนำศพใส่ถังพลาสติกสีน้ำเงินขนาด 200 ลิตรแล้วนำกลับมาที่วัด ก่อนจะลากศพไปในหลุมที่ช่วยกันขุดแล้วเอาแผ่นพื้นปูนโยนทับแผ่นเหล็กอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นช่วยกันผสมปูนซีเมนต์และเทปูนลงไปในหลุมจนมิดร่างของสามเณรปลื้ม

หลังจากเทพื้นเสร็จก็ได้นำพระพุทธรูปมาวางไว้ด้านบนของหลุมฝังศพสามเณรปลื้ม และนายเด่นชัยก็บวชเป็นพระในวันที่ 26 ม.ค. อ้างว่าเพื่อเป็นการชดใช้ความผิด ซึ่งหลังจากทำแผนประกอบคำรับสารภาพ จนท.นำพระเด่นชัยและสามเณรสุริยามาขอขมาต่อหน้าหลุมฝังศพของสามเณรปลื้มด้วย ส่วนสาเหตุที่ลงมือฆ่านั้น อ้างว่าสามเณรปลื้มลักทรัพย์เงินสด 5 หมื่น สร้อยคอ และพระเครื่องจำนวนหนึ่ง

จากนั้นจนท.ขุดศพสามเณรปลื้มโดยใช้เวลาประมาณกว่า 2 ช.ม.จึงนำศพขึ้นมาได้ โดยอยู่ในสภาพนอนตะแคงยังมีหนังติดกระดูก ผู้ตายสวมใส่ชุดเสื้อผ้ากีฬาทีมฟุต บอลเชลซี กางเกงขาสั้น โดยจะส่งไปชันสูตรอย่างละเอียดที่ศูนย์นิติเวช โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีต่อไป

เมื่อเวลา 13.00 น. ที่บก.ภ.จว.นครศรี ธรรมราช พล.ต.ท.เทศาแถลงว่า ตำรวจจับกุมคนร้ายทั้งหมด 5 คน คือพระเด่นชัย สามเณรสุริยา และน.ส.ปิยฉัตร อรุณสกุล อายุ 40 ปี หรือ น.ส.บิว ซึ่งเป็นแฟนกับพระเด่นชัย และมีสามเณรอีก 1 รูป และฆราวาสอีก 1 คน โดยเบื้องต้นพระเด่นชัยกับสามเณรสุริยารับสารภาพ ส่วนน.ส.บิวปฏิเสธ อีก 2 คนกันไว้เป็นพยาน

พล.ต.ท.เทศากล่าวว่า วัดวังตะวันตกมีผลประโยชน์มหาศาล กลุ่มผู้ต้องหาทั้งสามีภรรยาคือนายเด่นชัยและน.ส.ปิยฉัตรครอบงำได้ทั้งหมด แม้แต่อดีตเจ้าอาวาสก็ถูกขังไว้ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่ในสภาพห่มผ้าเหลืองเพียงอย่างเดียว กรรมการวัดไม่มี ต่อจากนี้อาจมีผู้ต้องหาเพิ่มในคดีนี้อีกรวมเกือบ 10 คนซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วน เช่น คนขุด คนจัดหาปูน คนผสมปูน ที่ช่วยกันปิดบังอำพรางซ่อนเร้นศพ ส่วนแหล่งผลประโยชน์ของวัดที่กลุ่มผู้ต้องหาครอบครองจัดการอยู่นั้นมีทั้งรายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ของวัดมูลค่าหลายร้อยล้านบาท เงินสดที่ไหลเข้าวัดทุกวันวันละไม่น้อยกว่า 15,000 บาท ทั้งจากการเก็บค่าแผงค้ารายวัน ค่าจอดรถรายวัน และอื่นๆ อีกหลายรายการ

ซึ่งรายได้ทั้งหมดนั้นไม่ปรากฏอยู่ในสถานะทางบัญชีของวัด ส่วนน.ส.ปิยฉัตรเดิมพบว่ามีอาชีพขายน้ำผลไม้ปั่นอยู่บริเวณหลังวัด และภายหลังมาบริหารจัดการภายในวัด ทำให้มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยขณะนี้ใช้รถยนต์ราคาแพงอยู่ถึง 3 คัน

จากนั้นเข้าสอบปากคำพระเทพสิริโสภณ อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช และอดีตเจ้าอาวาสวัดวังตะวันตก ที่ถูกใส่กุญแจขังไว้ในกุฏิให้การว่า อาตมาถูกใส่กุญแจกุฏิล็อกออกไปไหนมาไหนไม่ได้ 2 ปีกว่าแล้ว โดยจะมีคนเอาอาหารมาให้ฉันทุกวัน ไม่เคยรับรู้สถานะการเงินของวัด เนื่องจากอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มของพระเด่น รวมทั้งทีมผู้ต้องหาที่ร่วมฆาตกรรมสามเณรปลื้มเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น

ที่ศูนย์นิติเวช โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่มูลนิธิประชาร่วมใจ นครศรี ธรรมราช พร้อมพ่อและลุงของสามเณรปลื้ม เดินทางนำศพสามเณรปลื้ม ส่งตรวจพิสูจน์อย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อหาสาเหตุการตาย โดยจะผ่าชันสูตรในวันที่ 3 มิ.ย.

ด้านนายชวน เอกเกียรติกุล อายุ 42 ปี พ่อของสามเณรปลื้มผู้ตายเปิดเผยว่า ตนเองมีอาชีพรับจ้างอยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ และจะติดต่อกับเณรตลอด และก็เล่าว่ามีปัญหากับพระรูปหนึ่งที่บวชอยู่ที่วัดแต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ช่วงเดือนม.ค.ที่ผ่านมาโทร. ไปหาเณร แต่เป็นเสียงผู้อื่นมารับและได้บอกว่าเณรปลื้มออกไปทำธุระข้างนอก และหลังจากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อกับลูกได้อีก จนมาทราบเรื่องเมื่อวานว่าเณรถูกฆ่าเสียชีวิตจึงรีบเดินทางมาจากจ.กาฬสินธุ์ ตอนนี้เมื่อเห็นสภาพของลูกยังรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้น จึงอยากจะวอนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามจับกุมคนร้ายทั้งหมดที่ร่วมก่อเหตุมาลงโทษโดยเร็ว เนื่องจากสามเณรปลื้มเป็นลูกชายคนเดียว

นายมีชัย เอกเกียรติกุล อายุ 44 ปี ลุงแท้ๆ ของสามเณรปลื้มเปิดเผยว่า ตนเองไม่ปักใจเชื่อที่สามเณรปลื้มจะเป็นคนลักขโมย แต่จะเป็นคนที่พูดจาโผงผาง และตรงไปตรงมา และเชื่อว่าหลานคงจะไปรับรู้เรื่องอะไรบางอย่างภายในวัด หรือมีเรื่องขัดผลประโยชน์กันจนเป็นเหตุให้สร้างความไม่พอใจและลงมือก่อเหตุดังกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน