มึนอ ลุยร้องอสส. ขอความเป็นธรรม คดีอุ้มฆ่าบิลลี่ จี้สั่งฟ้อง 4 ผู้ต้องหาทุกฐานความผิด ยันพยานหลักฐานชัด-มีเหตุจูงใจให้ฆ่า

วันที่ 27 ส.ค. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.เเต้งวัฒนะ น.ส.วราภรณ์ อุทัยรังษี ทีมทนายนำ น.ส.พิณนภา รักจงเจริญ ภรรยา นายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำชุมชนกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย และชาวบ้านกะเหรี่ยง 10 หมู่บ้านจาก ต.ยางน้ำกลัดเหนือ และ ต.ยางน้ำกลัดใต้ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี ประมาณ 50 คน เดินทางเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการสูงสุด หลัง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งความเห็นแย้ง กรณีการหายตัวไปของนายบิลลี่ โดยมี นายวรวุฒิ วัฒนอุตถานนท์ อัยการผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ เป็นผู้รับหนังสือ

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

น.ส.วราภรณ์ กล่าวว่า หลังจากดีเอสไอทำความเห็นแย้งการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาและพวก 4 ราย (1) นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร (2) นายบุญแทน บุษราคัม (3) นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ และ (4) นายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ เป็นผู้ต้องหาที่ (1) – (4) ตามลำดับน.ส.พิณนภา ในฐานะผู้เสียหาย ได้ปรึกษาทีมทนายแล้ว จึงทำหนังสือขอความเป็นธรรมอัยการสูงสุดใน 5 ประเด็นคือ พยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนฟังได้หรือไม่ว่ามีการควบคุมตัวนายพอละจี โดยยังไม่ได้มีการปล่อยตัวบิลลี่ตามที่ผู้ต้องหากล่าวอ้าง

และหลังจากนายพอละจีถูกควบคุมตัวจนดีเอสไอค้นพบชิ้นส่วนกะโหลกของบิลลี่ในอุทยานฯแก่งกระจาน จึงไม่มีข้อเท็จจริงใดชี้ให้เห็นว่าบิลลี่น่าจะยังมีชีวิตอยู่

นอกจากนี้การตรวจพิสูจน์ด้วยวิธีไมโตรครอนเดียมีความน่าเชื่อถือเพียงพอที่จะสรุปว่า ชิ้นส่วนกะโหลกมนุษย์ที่พบเป็นของบิลลี่ และพิสูจน์ได้ว่า บิลลี่ได้เสียชีวิตแล้ว ส่วนข้อโต้แย้งขออัยการเป็นเพียวความเห็นส่วนตัว โดยไม่มีรายงานการตรวจพิสูจน์ พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ให้ความเห็นเป็นอย่างอื่น นอกจากรายงานในสำนวนการสอบสวน

น.ส.วราภรณ์ กล่าวอีกว่า พยานหลักฐานของดีเอสไอเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าผู้ต้องหาทั้ง 4 รายมีเหตุผลและสาเหตุจูงใจน่าเชื่อว่า ได้กักขังหน่วงเหนี่ยวและร่วมกันทำให้บิลลี่เสียชีวิต เนื่องจากเคยโกรธเคืองกันมาก่อน

เพราะบิลลี่เคยรวบรวมพยานหลักฐานในส่วนของการกระทำผิดอื่นที่ทำให้ผู้ต้องหาอาจจะได้รับโทษคดีอาญา และสำหรับพยานหลักฐานเบื้องต้นที่รวบรวมพอจะยืนยันได้ว่า นายบิลลี่ถูก นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร พร้อมพวกควบคุมตัวไว้อย่างต่อเนื่องจนต่อมาพบว่าบิลลี่เสียชีวิต ประกอบกับพฤติการณ์แวดล้อมและมูลเหตุจูงใจเกี่ยวกับกรณีพิพาทที่ผู้ต้องหาที่ 1 มีเหตุโกรธแค้นกับบิลลี่จึงเชื่อได้ว่าการเสียชีวิตของบิลลี่เกิดจากการกระทำโดยจงใจของผู้ต้องหาที่ 1 กับพวกซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ต้องหาที่ 1

“จากเหตุผลดังกล่าวจึงขอให้อัยการสูงสุดใช้ดุลยพินิจมีคำสั่งชี้ขาดผู้ต้องหาทั้งหมดทุกข้อกล่าวหา คดีนี้อยู่ในความใจของประชาชน และผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง ดังนั้นการพิจารณาสั่งคดีอัยการสูงสุดควรสั่งคดีเอง โดยไม่ต้องมอบหมายให้อัยการคนอื่นดำเนินการแทน และหากมีประเด็นใดหรือข้อเท็จจริงใดที่ยังไม่ยุติก็ขอให้ใช้อำนาจตามกฎหมายสั่งพนักงานสอบสวนสอบสวนเพิ่มเติมได้ คดีนี้ไม่ใช่แค่คืนความเป็นธรรมให้ครอบครัวของบิลลี่เท่านั้น

แต่ยังมีความหมายต่อกลุ่มชาติพันธ์ชาวกะเหรี่ยง ในพื้นที่แก่งกระจานและจังหวัดอื่นๆที่ยังเฝ้ารอผลของคดีนี้ว่า ความเป็นธรรมยังมีอยู่จริงหรือไม่ และรัฐเห็นคุณค่าของกลุ่มชาติพันธ์หรือไม่” น.ส.วราภรณ์ กล่าว

ด้าน น.ส.พิณนภา กล่าวว่า ตนมาร้องขอความเป็นธรรมจากอัยการสูงสุดเป็นครั้งแรก เนื่องจากหลังดีเอสไอทำความเห็นแย้งไปแล้ว แต่ทางอัยการยังไม่มีความหน้า อย่างไรก็ตาม ชีวิตในปัจจุบันค่อนข้างลำบาก สิ่งที่บิลลี่เคยร้องเรื่องสิทธิที่ดินทำกินของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่แก่งกระจานก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข การร้องขอความเป็นธรรมในครั้งนี้แม้จะไม่มีความหวังแต่ตนก็มองในแง่ดีจึงยังตั้งความหวังไว้

ด้าน นายวรวุฒิ กล่าวถึงขั้นตอนหลังรับเรื่องว่า จะส่งให้สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาพยานหลักฐาน รวมถึงการร้องขอให้สอบพยานเพิ่มเติมนั้นมีเหตุผลดำเนินการมากน้อยเพียงใด ก่อนทำความเห็นให้อัยการสูงสุดออกคำสั่งชี้ขาดในคดีว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ซึ่งถือเป็นคำสั่งเด็ดขาด

ส่วนกรณีสั่งไม่ฟ้องแต่หากมีพยานหลักฐานใหม่ก็สามารถยกขึ้นพิจารณาได้ เช่นเดียวกันกับกรณีของนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ที่ใช้อำนาจตาม ป.วิอาญา มาตรา 147 หยิบยกคดีขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน