‘กองปราบ’ เร่งสอบเส้นทางการเงิน ผู้ต้องหายักยอกเงินวัดบวรฯ พบถอนเงินสดออกมานับไม่ถ้วน ก่อนถ่ายเทให้คนใกล้ชิด เตรียมลุยตราด สอบปากคำพยาน

กรณีคดียักยอกเงินของวัดบวรนิเวศวิหาร และวัดสาขา ภายหลังจากสมเด็จพระวันรัต อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรฯ มรณภาพไปแล้ว ก่อนพบลูกศิษย์คนสนิทที่ยักยอกเงินไปใช้ส่วนตัวเป็นเงินมากกว่า 190 ล้านบาท และติดตามจับกุมตัวไปแล้ว พร้อมตรวจยึดรถหรูไว้ 9 คัน รวมถึงทรัพย์สินมีค่าอื่นๆอีกหลายรายการ มูลค่ากว่าร้อยล้านบาท ตามที่เป็นข่าวไปนั้น ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 5 เม.ย. มีรายงานว่า ทางพนักงานสอบสวน กองปราบ ฯ กำลังเร่งตรวจสอบพยานหลักฐานต่าง ๆ เบื้องต้นในการตรวจสอบเส้นทางการเงินของ นายเนย ผู้ต้องหาคดีดังกล่าว พบมีการโอนเงินจากบัญชีธนาคารวัดเข้าบัญชีส่วนตัวของตนเองหลายครั้ง ก่อนจะนำเงินไปใช้ซื้อทรัพย์สินต่าง ๆ เช่น รถยนต์ยี่ห้อหรู และ ทรัพย์สินมีค่าต่างๆ โดยเฉพาะรถยนต์ยี่ห้อต่างๆของผู้ต้องหา ที่ตรวจยึดมาได้ทั้ง 9 คันนั้น จากการตรวจสอบเอกสารผู้ครอบครอง พบมีชื่อของนายอภิรัตน์เป็นผู้ครอบครองเพียงไม่กี่คัน ส่วนรถคันอื่นก็จะเป็นชื่อของบุคคลใกล้ชิด อาทิ ชายหนุ่มคนสนิท พ่อ แม่ และ น้อง ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่า มีส่วนรู้เห็นในการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน และมีส่วนร่วมกับการกระทำผิดด้วยหรือไม่ หากพบว่ามีเจตนาช่วยเหลือด้วย ก็จะพิจารณาดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงินกับกลุ่มบุคคลเหล่านี้ด้วย

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ขณะเดียวกันจากการตรวจสอบบัญชีการเงินของวัดเมื่อปี 2564 ยังพบว่า นายอภิรัตน์ นำบัญชีธนาคารของวัดจำนวนหลายบัญชี ไปเบิกถอนออกมาเป็นเงินสดอยู่หลายครั้ง เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็นการเบิกถอนออกมาเพื่อนำไปใช้จ่ายส่วนตัว หรือ นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของวัด และเบิกถอนไปรวมทั้งหมดเป็นจำนวนเงินเท่าใด ซึ่งต้องใช้เวลาตรวจสอบพอสมควร เนื่องจากบัญชีธนาคารของวัดมีด้วยกันหลายบัญชี และ มีการทำธุรกรรมทางเงินทับซ้อนอีกด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในวันพรุ่งนี้( 6 เม.ย.) พนักงานสอบสวนกองปราบปรามฯ จะลงพื้นที่ยัง วัดรัตนวราราม จ.ตราด อีกครั้ง เพื่อสอบปากคำพยานบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับคดีโดยเฉพาะเจ้าอาวาสวัด และพระลูกวัด รวมถึงเจ้าของโรงโม่เพชรสยามศิลาตราด ซึ่งเป็นผู้ทำบัญชีของวัด เพื่อตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดบัญชีการเงินของวัด หลังมีการตรวจสอบพบเพิ่มเติมว่า นายเนย ทุจริตยักยอกเงินวัดสาขาในพื้นที่ จ.ตราด อีก 2 วัด อาทิ วัดรัตนวราราม และ วัดคีรีวิหาร ซึ่งเป็นงบจัดสร้างวัดรัตนวราราม 80 กว่าล้านบาท และ งบจัดสร้างโรงเรียนวัดคีรีวิหาร อีกกว่า10 ล้านบาท ทั้งนี้จากการสอบถาม พระโสภณธรรมธาดา (หัน คุณวตฺโต) เจ้าอาวาสวัดคีรีวิหาร กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องนี้ เพิ่งมาทราบจากผู้สื่อข่าว ซึ่งสมเด็จพระวันรัต ท่านนั้นเกิดที่ตำบลชำราก และบวชเรียนที่วัด ก่อนได้ไปเรียนที่วัดบวรฯ และเมื่อเติบโตขึ้นและมีตำแหน่งทางสงฆ์จึงได้เดินทางมาพัฒนาวัดคีรีวิหารที่เคยได้บวชเเละเรียน ซึ่งมาดำเนินการเมื่อปี 2523 ด้วยการเดินทางมาและนำกฐินมาทอดอย่างต่อเนื่องทุกปี พร้อมสร้างกุฏิ และบูรณะวัด และได้มีสร้างที่พักในบริเวณวัด ซึ่งใช้เป็นที่พักของสมเด็จวันรัตด้วยเมื่อท่านเดินทางมาที่จ.ตราด

พระโสภณธรรมธาดา กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการนำเงินพัฒนาวัดและโรงเรียนนั้น อาตมาไม่ทราบเรื่องเงิน และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ประการใด เพราะเป็นเงินคนละส่วนและไม่มีกรรมการวัดรับรู้ทั้งสิ้น ส่วนจะมีมาดำเนินการนั้นไม่รู้ สำหรับสถานที่ก่อสร้างโรงเรียนก็เป็นเพียงผู้จัดหาให้เท่านั้น

ขณะที่ ผู้คุมงานก่อสร้าง (ไม่ขอเปิดเผยชื่อ) ที่กำลังคุมแรงงานก่อสร้างโรงอาหาร-โรงยิม โรงเรียนวัดคีรีวิหาร(สมเด็จพระวันรัต อุปถัมภ์) เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว ว่า ตนเองเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของเจ้าประคุณ สมเด็จพระวันรัต เมื่อเวลามีการโครงการก่อสร้างของเจ้าประคุณ ตนเองก็จะเป็นได้รับความไว้วางใจให้เข้าคุมแรงงานก่อสร้าง โดยอาคารโรงเรียนวัดคีรีวิหารทั้งหมด ตนเองเป็นผู้คุมงานแรงงานก่อสร้างทุกหลัง และจะมีลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของเจ้าประคุณ เข้ามาตรวจงานอีกรอบ

ส่วนเรื่องงบประมาณในการก่อสร้างอาคารแต่ละหลังของโรงเรียนนั้นตนเองไม่รู้ยอดเงิน เพราะที่ผ่านมา เจ้าประคุณจะเบิกเงินมาจ่ายให้เองในแต่ละงวด จึงไม่มีปัญหาในเรื่องของการทุจริต แต่เมื่อเจ้าประคุณเข้ารักษาอาการอาพาธโรคมะเร็งถุงน้ำดี เมื่อเดือนธันวาคม 2564 พบพฤติกรรม ที่นายเนยเขียนเช็คออกมาเพื่อนำเงินไปจ่ายตามโครงการก่อสร้างต่าง ๆ แต่ไม่ยอมนำไปให้เป็นลักษณะที่เก็บเช็คเอาไว้เอง ด้าน นายสุรศักดิ์ อิงประสาร หรือเสี่ยเพ่ง เจ้าของโรงโม่เพชรสยามศิลาตราด ผู้บริจาคที่ดิน 30 ไร่เพื่อก่อสร้างวัดรัตนวรารามว่า ส่วนตัวรู้จักสมเด็จพ่อ(สมเด็จพระวันรัต)เมื่อ 6 ปีผ่านมา และเมื่อทราบว่าท่านจะต้องการสร้างวัดจึงได้บริจาคที่ดินจำนวน 30 กว่าไร่เพื่อก่อสร้างวัดที่เรียกว่า วัดรัตนวราราม ซึ่งกว่าจะดำเนินการก่อสร้างได้ต้องขออนุญาตจากสำนักพุทธจังหวัดตราดเพื่อส่งไปยังส่วนกลาง

เมื่อได้รับการอนุญาตแล้วได้ดำเนินการวางศิลาฤกษ์ โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มาเป็นประธาน หลังจากนั้น สมเด็จพ่อได้มอบหมายให้คนชื่อเนยและมงคลเข้ามาดูแลและโอนเงินเข้ามาในบัญชีของโรงโม่เพชรสยามศิลาตราด ซึ่งการเบิกจ่ายต้องมี 3 คน ซึ่งตนเองก็เป็น 1 ในนั้น แต่จะไม่เคยไปเบิกจ่ายในธนาคาร เพราะจะมีผู้เบิกจ่ายแทน








Advertisement

โดยเงินทั้งหมดที่ดำเนินการก่อสร้างมา 5-6 ปีนั้น ผ่านเข้าบัญชีจำนวน 134 ล้านบาท และก่อนที่สมเด็จพ่อจะเสียชีวิตนั้นได้มีการโอนเงินมาให้ 19 ล้านเพื่อดำเนินก่อสร้างในส่วนที่เหลือ อีก 10% “ ที่ผ่านมาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการเบิกจ่ายเงินใดๆ และไม่มีส่วนร่วมการยักยอกเงินในครั้งนี้ เพราะว่า การเบิกเงินจะมีผู้รับรู้อยู่ 3 คน และการเบิกจ่ายจะใช้ 2 ใน 3 แต่ผมไม่เคยไปเบิกเลย เเต่เมื่อมีค่าใช้จ่ายเท่าไรก็จะแจ้งไปแล้วนำมาจ่าย ทั้งในเรื่องค่าแรง ค่าวัสดุก่อสร้าง หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มาก เพราะคนใกล้ชิดเป็นผู้กระทำ ซึ่งก่อนหน้านี้สมเด็จพ่อได้เปรยมาขอให้เร่งสร้างให้เสร็จก่อนที่จะไม่ได้เห็นวัด ก็ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แต่ก็ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จตามเจตจำนงของสมเด็จฯให้ได้ โดยในวันที่ 6 เม.ย.65 ทางผบก.ป.จะเดินทางมาพบที่โรงโม่หินเพชรสยามศิลาตราด เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งพร้อมที่จะให้ดำเนินการตรวจสอบทั้งหมดและมีหลักฐานที่จะให้ทางตำรวจกองปราบได้รับรู้ด้วย “

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน