บานไม่หยุด คดีหวย 30 ล้าน จ่อฟัน 4 ตร. เมืองกาญจน์ สอบพบจงใจบิดเบือนผลคดี เหตุทำหน้าที่ผิดพลาด เลยเกรงว่าจะถูกฟ้องกลับ ด้านผบช.ก.เผย ที่สอบนานเพราะต้องการให้ถูกต้องที่สุด ขณะที่ผบก.ป. เตรียมประชุมสรุป ใครเป็นเจ้าของหวย และจะดำเนินคดีกับใครบ้าง ขณะที่ “ครูปรีชา” ปัดตอบ คลิปเสียงล่าสุดใช่เสียงตนเองหรือไม่ ให้ไปหาว่าแหล่งที่มา มาจากไหน ถ้าตอบได้จึงจะตอบว่าใช่หรือไม่ จำไม่ได้ พูดกับใครตรงไหนบ้าง ยันหากใครมีข้อมูลให้ไปแสดงในศาล ไม่กังวลกองปราบฯเตรียมออกหมายจับ

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 18 ก.พ. ที่กองปราบปราม พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. เปิดเผยความคืบหน้าคดีหวย 30 ล้านอลเวงว่า ขณะนี้คณะพนักงานสอบสวนกำลังรวบรวมข้อมูลรายละเอียดที่ได้มาทั้งหมด ตั้งแต่การลงพื้นที่จำลองเหตุการณ์ ผลการซักถามพยานทั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจของสภ.เมืองกาญจนบุรีและพยานฝ่ายนายปรีชาเพิ่มเติม นอกจากนี้ก็ยังมีพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และนิติวิทยา ศาสตร์ที่รวบรวมมาได้ ซึ่งวันที่ 19 ก.พ. พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี รองผบช.ก. จะเดินทางมาร่วมประชุมกับคณะพนักงานสอบสวนที่กองปราบปราม และก็คาดว่าจะมีความคืบหน้าชัดเจนมากขึ้น แต่ว่าจะถึงขั้นสรุปได้เลยหรือไม่ว่า สลากกินแบ่งที่ถูกรางวัลดังกล่าวเป็นของใครนั้น ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะขึ้นอยู่กับหลักฐานที่จะนำมาหารือกันในการประชุม

พล.ต.ต.ไมตรีกล่าวต่ออีกว่า ที่ผ่านมาตนขอยืนยันว่าพนักงานสอบสวนของกองปราบปรามไม่เคยข่มขู่ หรือคุกคามให้พยานรายใดรับสารภาพ เพราะเราต้องทำคดีอย่างตรงไปตรงมา เรามีความเป็นมืออาชีพ การที่ต้องสอบปากคำโดยใช้เวลากว่าสิบชั่วโมง ก็เพราะไม่อยากเรียกพยานมาสอบบ่อยๆ จึงต้องสอบให้ครบถ้วนทุกประเด็น เพื่อไม่ให้ขาดตกบกพร่อง รวมทั้งตลอดระยะเวลาการสอบสวน ตัวพยานเองก็มีทนายความอยู่ด้วยตลอดเวลา ส่วนกรณีที่มีพยานบางรายเข้าใจว่ามีการส่งตำรวจไปเฝ้าดูและติดตามพยาน ก็ขอยืนยันว่าเราไม่เคยส่งใครไปจับตาดูผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดี ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าพยานอาจกังวลไปเองก็เป็นได้ โดยตนขอยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดความยุติธรรมที่สุด

รานงานข่าวแจ้งว่า การประชุมที่จะมีขึ้นในวันที่ 19 ก.พ.นี้ คาดว่าคณะพนักงานสอบสวนจะต้องมาหารือหาแนวทางหรือผลสรุปของคดี เพื่อระบุให้ได้ว่าใครเป็นเจ้าของตัวจริง จากนั้นก็จะมาพิจารณาว่าใครที่เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายที่ต้องถูกดำเนินคดีบ้าง โดยจะดูจากเจตนาของผู้กระทำความผิดเป็นสำคัญ เบื้องต้นพบว่าน่าจะมีผู้ร่วมกันกระทำความผิดมากกว่า 2 คนขึ้นไป ส่วนการดำเนินคดีก็น่าจะเป็นข้อหาที่แตกต่างกันไป อยู่ที่พฤติกรรมกระทำความผิด โดยความผิดที่พบน่าจะเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญาเป็นหลัก

ด้านพล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. เปิดเผยว่า ตนสั่งการให้ พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี รอง ผบช.ก. เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน โดยกำชับว่าขอให้ละเอียดรอบคอบ เนื่องจากสังคมคาดหวังการทำงานของตำรวจบช.ก.สูงมาก โดยจะเรียกพนักงานสอบสวนแต่ละนายมาสอบถามความคืบหน้างานที่มอบหมายไปก่อนหน้านี้ว่า ผลเป็นอย่างไรและดำเนินการไปถึงไหนแล้ว พร้อมกำชับให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งยังไม่อยากให้สังคมคาดหวังว่าพนักงานสอบสวนจะมีการออกหมายจับบุคคลใดหรือไม่ แต่ขอให้เชื่อมั่นว่าจะดำเนินการตามข้อเท็จจริงและหาคนผิดมาดำเนินคดีให้ได้ เพราะคดีนี้ยืดเยื้อมานานแล้ว หากต้องล่าช้าไปจึงต้องการให้ผลออกมาถูกต้องที่สุด

รายงานข่าวแจ้งอีกด้วยว่า กรณีการเชิญตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจของ สภ.เมืองกาญจนบุรี จำนวน 4 นาย มาสอบปากคำ ประกอบด้วยนายตำรวจยศพ.ต.ท., พ.ต.ต., ร.ต.อ.และด.ต. ซึ่งจากการซักถามโดยนายตำรวจระดับสูงของบช.ก. พบว่าน่ามีส่วนเกี่ยวข้องทำให้คดีนี้เกิดปัญหาและมีเจตนาจงใจเพื่อทำให้แนวทางคดีออกมาในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้การกระทำดังกล่าวก็เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองจากเรื่องที่ได้กระทำผิดพลาดในขั้นตอนบางอย่างจนเกรงว่าตนเองจะถูกฟ้องกลับ ซึ่งไม่ใช่เป็นความผิดพลาดในการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนจะผิดมากหรือน้อยยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบให้แน่ชัดต่อไป

วันเดียวกันผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 143/22 ทุ่งนา ซ.5 หมู่ 3 ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เพื่อสอบถามครูปรีชา ใคร่ครวญ กรณีมีการเผยแพร่คลิปเสียงพูดคุยกันทางโทรศัพท์ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ความยาว 3 นาที ว่าใช่เสียงของครูปรีชาหรือไม่ เมื่อไปถึงพบรถกระบะ 2 คัน รถยนต์เก๋ง 1 คัน จอดอยู่ภายในบ้าน ส่วนประตูหน้าบ้านล็อกกุญแจด้านในเอาไว้ แต่บรรยากาศค่อนข้างเงียบ รอไม่นานนักครูปรีชาก็ได้ตะโกนมาบอกสื่อมวลชนที่รอทำข่าวว่า ขอเวลา อาบน้ำสักพัก จนกระทั่งประมาณ 30 นาที ครูปรีชาก็เดินออกมาพบผู้สื่อข่าวด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มเช่นเดิม และพูดจาแซวสื่อมวลชนว่า เมื่อวานคุยกันแล้วไงว่าวันนี้จะไม่มาพบเพราะครูจะพาครอบครัวไปทำบุญฝังลูกนิมิต แต่อย่างไรก็ตามครูปรีชาก็เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสอบถามได้ 1 คำถาม

ผู้สื่อข่าวจึงถามว่าครูฟังเรื่องคลิปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ครูปรีชาตอบว่า”เมื่อคืนได้ดูคลิปจากช่อง 7 ช่อง 7 นี่เก่งมากเลย ไม่รู้ไปเอาคลิปใครมาก็ไม่รู้ ก็อย่างที่ครูเคยบอกว่าเรื่องคลิปเสียง ซึ่งพูดแล้วก็พูดอีกว่า ใครมีหลักฐานอย่างไรก็น่าจะเข้าสู่ระบบกระบวนการของศาล เพราะทำแบบนี้เหมือนการชี้นำประชาชน แต่คลิปทั้งหมดนี้ครูอยากจะทราบว่าแหล่งที่มานั้นมาจากแหล่งไหน ใครเป็นคนเอามา แล้วที่มานี้มาได้อย่างไร ดังนั้นจะมาถามครูก่อนไม่ได้ จะต้องไปถามคนที่นำมาว่านำมาจากไหน จึงอยากให้นักข่าวไปถามว่าแหล่งที่มาของคลิปเสียงนั้นมาจากไหน โดยเฉพาะที่ช่อง 7 เอามาลงเอามาจากไหน ถามว่าจริงๆ แล้วครูเคยมีคลิปเสียงนี้หรือไม่ ตอบว่าคือเรื่องเสียง เมื่อพูดถึงโทรศัพท์ทั่วๆ ไป เราก็พูดคุยกันโดยทั่วๆ ไป แต่ใครจะมาจำว่าเราจะพูดกับใครตรงไหนบ้าง มันจำไม่ได้หรอก

ดังนั้นก็อย่างที่ครูบอกนั่นแหละว่า ใครมีพยานหลักฐานดีๆ ก็นำไปเข้าสู่กระบวน การศาล ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ทำหน้าที่ด้วยความยุติธรรมอยู่แล้ว ซึ่งความจริงครูก็ไม่ได้ปฏิเสธนะว่าเสียงในคลิปนั้นเป็นเสียงครู แต่ว่าอยากให้นักข่าวได้กลับไปถามก่อนว่า ที่มาของเสียงมายังไง ใครเป็นคนเอามา มาจากแหล่งไหน ดังนั้นการที่มีคลิปเสียงออกมาชี้นำประชาชน ครูเคยบอกแล้วว่าเป็นการมอมเมาประชาชน ทำให้ประชาชนเข้าใจในความที่ไม่ถูกต้อง ถ้าคนเอามาบอกที่มาของแหล่งเสียงได้ถึงค่อยมาคุยกับครูคลิปนี้คืออะไร ดังนั้นขอให้นักข่าวทุกคนกลับไปถามคนที่เอาคลิปมา เอามาจากไหน มาจากแหล่งใด แล้วค่อยมาถามครูก็แล้วกัน”

ผู้สื่อข่าวถามรุกต่อว่ากรณีคลิปเสียงถ้าเกิดเป็นคลิปของครูจริง ถ้าครูได้มีการอธิบายเพิ่มเติมเสริมไปมันอาจจะเป็นทางบวกกับครู ครูมองว่าอย่างไร ครูปรีชาตอบว่า “คือจริงๆ จะบวกหรือลบครูเองก็ไม่ได้ติดใจ ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่ามันเป็นเรื่องของคดี ต้องเข้าสู่กระบวนการศาล จึงไม่เกี่ยวกับเรื่องจะบวกหรือลบ เพราะสักวันหนึ่งประชาชนก็จะเข้าใจเมื่อคดีเรียบร้อยแล้ว”

ส่วนคำถามที่ว่าทางกองปราบฯ เตรียมจะออกหมายจับ มีความกังวลอะไรหรือไม่ ซึ่งครูปรีชาก็ตอบเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาว่า ไม่ได้หวั่นวิตกหรือกังวลอะไรมาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเราคือเรื่องจริงและเชื่อมั่นในความจริง ส่วนกรณีที่ท่าน ผบช.ก.บอกเปิดโอกาสให้คนทำผิดกลับตัวกลับใจ ท่านก็พูดอย่างเป็น กลางซึ่งก็หมายความว่าท่านบอกกับทั้งสองฝ่าย ดังนั้น อย่าไปแปลความหมายกันเอง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน