อัยการสั่งฟ้อง “เจ้าสัวเปรมชัย” แค่ 6 ข้อหา จาก ที่ตร.เสนอไปทั้งหมด 11 ข้อหา รอดคดีครอบครองอาวุธปืน กับทารุณสัตว์ อธิบดีอัยการภาค 7 แถลง พร้อมทั้งให้ชดใช้ค่าเสียหายทางอาญาด้วย กว่า 4 แสนบาทให้กรมอุทยานฯ ก่อนส่งความเห็นให้ ผบช.ภาค 7 ถ้าเห็นด้วยก็จะฟ้องศาลทันที แต่ถ้าเห็นแย้ง ต้องส่งให้อัยการสูงสุดชี้ขาด ขณะที่ “ศรีวราห์” ยืนยันสำนวนไม่ได้อ่อน ตร.ทำรัดกุม และกลั่นกรองโดยอัยการแล้ว

เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ที่สำนักงานอัยการภาค 7 จ.ราชบุรี นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 พร้อมด้วยนายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 7 และนายทะนง ตะภา อัยการจังหวัดทองผาภูมิ ร่วมแถลงผลการพิจารณาคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และพวกรวม 4 คน ผู้ต้องหาคดีล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ฝั่งตะวันตก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

นางสมศรีกล่าวว่า ระหว่างการพิจารณาของคณะทำงานคดี นายเปรมชัยกับพวกยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออธิบดีอัยการภาค 7 เมื่อวันที่ 26 มี.ค. ขอให้สอบสวนเพิ่มเติมพยานในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการซื้อซากสัตว์จากร้านอาหารของนายเปรมชัยกับพวก ประเด็นที่เกี่ยวกับพยานหลักฐานของซากสัตว์ที่พบในที่เกิดเหตุ และผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ และอื่นๆ คณะทำงานที่มีนายสมเจตน์เป็นหัวหน้าคณะ ร่วมกันตรวจพิจารณาสำนวนโดยละเอียดรอบคอบแล้ว มีความเห็นทางคดีและเสนอให้อธิบดีอัยการภาค 7 มีคำสั่งในคดี

อธิบดีอัยการภาค 7 กล่าวว่า จากการพิจารณามีคำสั่งฟ้องนายเปรมชัย ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยมิได้รับอนุญาต และโดยไม่มีเหตุสมควร, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสีย หรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งซากสัตว์ป่าอันได้มาโดยการกระทำความผิดกฎหมาย และร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่

นางสมศรีกล่าวว่า สั่งไม่ฟ้องนายเปรมชัย ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต, ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่า หรือจับสัตว์ป่า หรืออาวุธใดๆ เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และร่วมกันทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร รวมสั่งฟ้อง 6 ข้อหา ไม่สั่งฟ้อง 5 ข้อหา

ส่วนนายยงค์ โดดเครือ ผู้ต้องหาที่ 2 มีคำสั่งฟ้องฐานร่วมกันมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต, ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยมิได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ร่วมกันช่วยซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสีย หรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งซากสัตว์ป่าอันได้มาโดยการกระทำความผิดกฎหมาย และร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

อธิบดีอัยการภาค 7 กล่าวต่อว่า สั่งไม่ฟ้องฐานร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์ป่า หรืออาวุธใดๆ เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และร่วมกันทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร

นางสมศรีกล่าวว่า ส่วนนางนที เรียมแสน ผู้ต้องหาที่ 3 ถูกสั่งฟ้องฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต, ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยมิได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร, ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสีย หรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งซากสัตว์ป่าอันได้มาโดยการกระทำความผิดกฎหมาย และร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่

อธิบดีอัยการภาค 7 กล่าวว่า สั่งไม่ฟ้องฐานร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์ป่า หรือจับสัตว์ป่าหรืออาวุธใดๆ เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และร่วมกันทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร

ส่วนนายธานี ทุมมาศ ผู้ต้องหาที่ 4 ถูกสั่งฟ้องฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต, ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยมิได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงาน เจ้าหน้าที่, ร่วมกันช่วยซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสีย หรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งซากสัตว์ป่าอันได้มาโดยการกระทำความผิดกฎหมาย, ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ และร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

อธิบดีอัยการภาค 7 กล่าวต่อว่า สั่งไม่ฟ้องนายธานี ในข้อหาฐานร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์ป่า หรือจับสัตว์ป่าหรืออาวุธใดๆ เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และร่วมกันทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร

นางสมศรีกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังพิจารณาแล้วให้ผู้ต้องหาทั้ง 4 คนร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายทางอาญา 462,000 บาท ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ส่วนกรณีที่สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาบางคน บางข้อหานั้น ให้ส่งสำนวนไปให้ผบช.ภาค 7 เพื่อให้มีความเห็นทางคดีว่ามีความเห็นชอบกับ คำสั่งที่อธิบดีอัยการภาค 7 มีคำสั่งไปหรือไม่ ถ้าเห็นชอบ อัยการก็จะยื่นฟ้องผู้ต้องหาทันที แต่ถ้าไม่เห็นชอบ อัยการจะส่งสำนวนไปยังอัยการสูงสุดชี้ขาด แต่ถ้าไม่แย้งก็จะส่งเรื่องมาให้อัยการภาค 7 ส่งฟ้องศาลจังหวัดทองผาภูมิต่อไป

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีอัยการสั่งฟ้องนายเปรมชัยไม่ครบทุกข้อหาตามที่พนักงานสอบสวนสั่งฟ้องว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนไม่ฟ้อง 1 ข้อหาตั้งแต่แรก เกี่ยวกับครอบครองอาวุธปืน เนื่องจากปืนมีทะเบียนชื่อนายเปรมชัย ส่วนอีก 2 ข้อหาที่อัยการสั่งไม่ฟ้องเกี่ยวกับการเข้าป่าล่าสัตว์ และนำอาวุธปืนเครื่องมือล่าสัตว์เข้าไป ทั้ง 2 ประเด็นพนักงานสอบสวนทำสำนวนรัดกุมตามพยานหลักฐาน แต่เป็นไปได้ว่าอัยการมองว่าไม่มีเจตนา เนื่องจากการเข้าไปในป่าผ่านการอนุญาตโดยเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

รองผบ.ตร.กล่าวว่า หลังพนักงานสอบสวนส่งสำนวนแล้ว อัยการสั่งให้พนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ สอบสวนเพิ่มเติมถึง 2 ครั้ง ใน 3 ประเด็น คือการแจ้งค่าเสียหาย ผลพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ และการแจ้งพฤติการณ์แห่งคดีให้ผู้ต้องหาทราบ โดยไม่ได้สั่งให้สอบสวนเพิ่มในประเด็นที่เกี่ยวกับข้อหาที่สั่งไม่ฟ้องแต่อย่างใด ประเด็นที่สั่งไม่ฟ้อง อัยการไม่เคยให้สอบเพิ่ม การที่ตำรวจส่งสำนวนให้อัยการและสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมถึง 2 รอบ แสดงว่าสำนวนนี้ไปสุดแล้ว ผ่านการกลั่นกรองกันแล้ว

พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวต่อว่า ยืนยันว่าสำนวนไม่ได้อ่อน ตำรวจทำอย่างรัดกุมและกลั่นกรองแล้วโดยอัยการ ดูแล้วไม่ได้สั่งสอบเพิ่มในประเด็นเหล่านี้ที่สั่งไม่ฟ้องเลย ถือว่าโอเคแล้ว อัยการสั่งไม่ฟ้องเรื่องการเอาอาวุธเข้าไป ซึ่งเป็นเรื่องของกรมอุทยานฯ ในการให้อำนาจอนุญาต อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รับรายงานของอัยการ ทางพล.ต.ท.กิตติพงษ์ เงามุข ผบช.ภาค 7 ต้องพิจารณาทบทวนว่าจะมีความเห็นแย้ง หรือพ้องตามอัยการ

ส่วนนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) กล่าวว่าคณะทำงานอัยการที่มีนางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 ควบคุมดูแล พิจารณาด้วยความรอบคอบ รวดเร็ว เป็นธรรม เมื่อพิจารณาสำนวนแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เพียงพอ จึงมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนสอบ สภ.ทองผาภูมิ สอบเพิ่มเติม 3-4 ประเด็น เมื่อได้รับผลสอบตามที่มีคำสั่งไป คณะทำงานก็เร่งพิจารณาจนมี คำสั่งฟ้อง และสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในบางข้อหา คณะทำงานใช้เวลาพิจารณาสำนวน รวมทั้งสั่งสอบพยานเพิ่มเติมเพียง 17 วันเท่านั้น ก็สั่งคดีได้

รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดกล่าวว่าคดีนี้มีระยะเวลาฝากขังผู้ต้องหา 7 ผัด 84 วัน จะครบกำหนดสิ้นเดือนเม.ย.นี้ ยังเหลือเวลาอีกพอสมควร จะเห็นได้ว่าคณะอัยการทำงานด้วยความรวดเร็ว รอบคอบ ชัดเจน และไม่ได้ยื้อคดีตามที่สื่อโซเชี่ยลวิพากษ์วิจารณ์ ความเห็นของคณะทำงาน โดยเฉพาะนายเปรมชัย ที่คณะทำงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเรื่องการมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง ก็เพราะเป็นอาวุธปืนมีทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย หรือข้อหาฆ่าสัตว์ด้วยความทารุณ

นายประยุทธกล่าวต่อว่า หลังจากนี้อัยการส่งสำนวนให้ ผบช.ภาค 7 ทำความเห็นกลับมา หาก ผบช.ภาค 7 ยังคงมีความเห็น ยืนยันควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาตามที่พนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ เสนอมา ซึ่งหมายถึงมีความเห็นแย้งกับคณะทำงานอัยการในบางข้อหา ก็ต้องส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาดตามกฎหมายว่าจะสั่งฟ้องผู้ต้องหาข้อใดบ้าง ขณะนี้ยังมีเวลาเหลืออีกพอสมควรที่ผบช.ภาค 7 จะทำความเห็นกลับมาถึงคณะทำงานอัยการได้ทัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน