เบนซ์ เรซซิ่ง แชร์ประสบการณ์ ข้างใน ต้องเจอกับอะไรบ้าง – ผู้ต้องขังแบรนด์เนม ได้รับการดูแลเป็นพิเศษหรือไม่
เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 19 ต.ค.2567 นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง เปิดใจกับ ‘ข่าวสดออนไลน์‘ แชร์ประสบการณ์ที่เหล่า บอส ดิไอคอน ต้องเจอในคุก
นายอัครกิตติ์ กล่าวว่า หลายคนอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเข้าไปในคุกแล้วจะต้องเป็นนักโทษ ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ ขั้นตอนตอนนี้เป็นเพียงว่าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา ก็จะถือว่าเป็นผู้ต้องหาอยู่ แต่เมื่อนำตัวไปฝากขังที่ศาลคดียังสืบสวนไม่แล้วเสร็จ ซึ่งตำรวจมีอำนาจในการควบคุมตัวเพียงแค่ 48 ชั่วโมง จึงไปฝากขังที่ศาล
ซึ่งศาลก็ไม่ให้ประกันตัว โดยให้เหตุผลว่าคดีนี้มีอัตราโทษสูง มีผู้เสียหายจำนวนมาก เกรงว่าจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือกลัวว่าจะหลบหนี จึงเป็นเหตุผลที่ไม่อนุญาตให้ประกันตัว ซึ่งตนเชื่อว่าถ้าหากวันนั้นได้ประกันตัว ก็จะค้านความรู้สึกของประชาชน จะมีการตั้งคำถามมากมายว่าเป็นเพราะรวยหรือมีเงินหรือไม่ ถึงได้รับการประกันตัว
เมื่อไม่ได้รับการประกันตัว ก็จะต้องนำตัวไปฝากขังที่เรือนจำ ซึ่งเป็นสถานที่ที่นักโทษ หรือผู้ต้องขังคนอื่นเค้าอยู่กัน เมื่อไม่ได้รับการประกันตัว ศาลก็จะออกหมายขัง คือขังในระหว่างที่พิจารณาคดี สถานะก็จะเปลี่ยนนาย เป็น ขังชาย(ข.ช.) ส่วน นาง หรือนางสาว ก็จะถูกแทนที่ด้วยคำว่า ขังหญิง (ข.ญ.) ไม่ใช่ นักโทษ ยังไม่ได้สืบหรือว่าตัดสิน ให้มองว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
“ในส่วนของคดี ผมไม่ได้รู้ข้อเท็จจริง ขอไม่แตะ แต่อยากให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายด้วย ในวันนี้พวกเขาไม่ได้รับการประกันตัว มันก็จะเป็นอุปสรรค ในการที่จะไปหาพยานหลักฐาน เพราะการอยู่ข้างในมันยากต่อการที่จะต่อสู้ ผมเชื่อว่าคดีนี้ เอกสารมันต้องเยอะมาก แล้วเอกสารเหล่านี้ที่จะมาพิสูจน์ถูกหรือผิด มันก็จะมีแต่เจ้าตัวที่รู้ว่าอยู่ที่ไหน และเมื่อเราไม่สามารถออกไปหาได้ด้วยตัวเอง มันก็จะทำให้เกิดความยากลำบากมากขึ้น ผมมองว่าควรจะมีการแยกนักโทษเด็ดขาด กับนักโทษที่สู้คดีให้ชัดเจน”
ขั้นตอนกักขัง เมื่อศาลไม่ให้ประกันตัว ก็จะต้องเข้าไปอยู่ในคุก ซึ่งสิทธิ์ของผู้ต้องหา หรือจำเลยจะสามารถยื่นประกันตัวกี่ครั้งก็ได้ เราสามารถยื่นได้ทุกวัน แต่ศาลก็จะไม่มีเหตุในการเปลี่ยนแปลงคำสั่งเพราะมองว่า กลัวว่าจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
และเมื่อครบ 7 ฝาก 84 วัน ทางพนักงานสอบสวนจะต้องนำสำนวนทั้งหมดในคดีนี้ ส่งมอบให้กับพนักงานอัยการ และพนักงานอัยการก็จะส่งฟ้องศาล เมื่อครบ 84 วัน ก็จะต้องเบิกตัวบอสทุกคนมาที่ศาล เพื่อที่จะมารับคำฟ้อง ว่ามีการฟ้อง แจ้งข้อหา ฉ้อโกงประชาชนและนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จากนั้นจะเปลี่ยนสถานะเป็นจำเลย ซึ่งก็จะมีการสอบถามว่าจะให้การยังไง รับสารภาพหรือปฏิเสธ โดยในวันนั้นก็จะสามารถยื่นประกันตัวได้ แต่จะได้หรือไม่ได้ก็อยู่ที่ดุลพินิจของศาล
“ในระหว่างนี้เชื่อว่าคนที่อยู่ข้างใน คงมีสภาพจิตใจที่เครียด ก็จะหวังแต่เรื่องของประกันตัวแน่นอน มันยังไม่ถึงขั้นตอนว่าจะไปสู้คดีแล้วจะแพ้ชนะยังไง ทุกคนหวังเพียงแค่ว่า วันนี้ข่าวดังอาจจะประกันตัวยาก รอให้ข่าวเงียบก็อาจจะประกันตัวง่ายกว่านี้ ซึ่งจริงๆมันต้องอยู่ที่พฤติการณ์ด้วย”
ในวันแรกที่เข้าไปในคุก ก็ต้องไปทำประวัติ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ไปที่แผนกจำแนก เพื่อดูคดี เป็นใบของราชทัณฑ์ แต่ในกรณีนี้มองว่าเป็นผู้ต้องขังแบรนด์เนม คือเป็นผู้ต้องขังที่สื่อให้ความสนใจ เมื่อเข้าไปในเรือนจำ ทางผู้บังคับบัญชาก็จะมีคำสั่งมาว่าให้คอยดูแลกลุ่มผู้ต้องขังแบรนด์เนมเป็นพิเศษ
พิเศษในที่นี้ไม่ใช่วีไอพี แต่เป็นกรณีที่สื่อให้ความสนใจก็ต้องดูแลเป็นพิเศษ กลัวว่าจะถูกลอบทำร้ายหรือเครียดจนอยากฆ่าตัวตายหรือไม่ จะต้องจับตาดูเป็นพิเศษ หรือถ้าหากเขาเจ็บไข้ได้ป่วย จะต้องรีบพาไปส่งโรงพยาบาลให้ทัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเดินไปลื่นล้มหัวแตก ข้อเท็จจริง อาจจะลื่นล้มเอง แต่เมื่อเขาไปบอกญาติและออกสื่อ ก็จะได้รับความเสียหาย จึงเป็นเหตุผลที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ
ส่วนในแดนกักโรค จากห้องรับผู้ต้องขังใหม่จำนวน 5 วัน ซึ่งคิดว่าทั้งหมดที่ไปในวันนั้นก็จะอยู่ด้วยกันก่อน แต่ว่าหลังจากนั้น ก็จะมีการจำแนก ไปในแดนที่มีโครงสร้างที่รองรับเรื่องของคดี และพฤติกรรมต่างๆ หลังจากกักโรคเสร็จแล้ว ก็จะย้ายไปแดนผู้ต้องขังระหว่างสู้คดี ซึ่งพวกเขาก็จะอยู่ด้วยกัน แต่ยังคงปฏิบัติคล้ายกับนักโทษอยู่ดี เรื่องสิทธิ์การเยี่ยมญาติ ก็ไม่ได้เหมาะสมเท่าที่ควร
สำหรับประเด็นเรื่องคัดฉาก สมัยนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะ ก็ไม่ได้ขนาดนั้น และอาหารการกินทางกรมราชทัณฑ์ ก็จะเตรียมให้ทานทุกวันวันละ 3 มื้อ รสชาติก็ไม่ได้อร่อยเท่ากับภัตตาคารข้างนอก พอกินได้ แต่ในตอนนี้เชื่อว่าความเครียด แต่ละคนมันเยอะมาก ต่อให้เอาอาหารดีๆ มาวางไว้ เขาก็ไม่กิน เพราะถ้าเป็นตน ตนก็ไม่กินเหมือนกัน เนื่องจากเรื่องนี้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก
ตอนนี้มองว่าสิ่งที่ทุกคนต้องปรับ คือเรื่องกระบวนการความคิด เนื่องจากมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ตัวเราเข้าไปอยู่ข้างในแล้ว อยากจะให้รับสภาพ เราไปอยู่อีกชุมชนหนึ่งที่มีกฎกติกา และระเบียบแบบนี้เราก็ต้องปฏิบัติตาม มันไม่ได้มีอิสรภาพเหมือนอยู่ข้างนอก ซึ่งถ้าเราอยู่ข้างใน เราจะไม่รู้เลยว่าข้างนอกมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง ตัดขาดจากโลกภายนอก จะรู้ก็ต่อเมื่อมีคนมาบอกเท่านั้น
ส่วนผู้ต้องขังหญิง ตนมองว่าขั้นตอนไม่ต่างกัน แต่การใช้ชีวิตจะลำบาก เนื่องจากจำนวนผู้ต้องขังหนาแน่นกว่า ในเรื่องการนอน การอาบน้ำ ก็ไม่แน่ใจว่าจะเบียดเสียดมากแค่ไหน แต่สิ่งที่เหมือนกันทั่วประเทศ คือผู้ต้องขังจะมีผ้าเพียงแค่สามผืน อยู่ที่ว่าเราจะเอามาทำอะไร บางคนก็เอามาปูนอนทำเป็นหมอน ทำเป็นผ้าห่ม ส่วนหลังจากที่กักโรคเสร็จแล้ว ก็จะต้องมีการตัดผม ให้เป็นไปตามขั้นตอนกฎระเบียบ
แต่หลังจากที่อยู่ในแดนแล้ว จะใช้ชีวิตอย่างไร ซักผ้า เปลี่ยนชุด เรื่องนี้ก็อยู่ที่ผู้ต้องขัง ที่จะไปช่วยดูแล กรณีที่เป็นผู้ต้องขังแบรนด์เนมได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ก็อาจจะฝากให้ นักโทษชั้นเยี่ยมที่มีผู้ประพฤติดี คอยประกบเป็นพี่เลี้ยง ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง และคอยให้คำปรึกษา
ทั้งนี้ ในวันนี้ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษา แต่ต้องถูกเข้าไปอยู่ในเรือนจำ สังคมก็ตัดสินไปแล้ว จึงคิดว่าควรจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ คนที่กำลังสู้คดี ให้โอกาสหาหลักฐาน คนที่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่ได้มีพฤติกรรมหลบหนี สามารถติดกำไร EM ได้ไหม, วางหลักทรัพย์ หรือกักบริเวณ เพื่อให้คนเหล่านี้ได้มีโอกาสต่อสู้คดี