นางจิตรลดา เลขาพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) หรือ AS เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นในเดือนก.ค. คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มเศรษฐกิจดีต่อเนื่อง หลังไตรมาส 1/2561 เติบโต 4.8% สูงสุดในรอบ 5 ปี ล่าสุด ธปท. เพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2561 เป็น 4.4% จากเดิม 4.1% ตามการส่งออกและท่องเที่ยวที่โดดเด่น และดีกว่าคาด สอดคล้องกับคาดการณ์ของสภาพัฒน์ฯ ที่ 4.2-4.7% ซึ่งสูงสุดในรอบ 6 ปี

นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยบวกจากแรงเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 2/2561 เริ่มจากกลุ่มธนาคาร ประมาณกลางก.ค. หลังจากนั้นเป็น Real Sector จนถึงกลางส.ค. 2561 รวมถึงราคาน้ำมัน ที่คาดได้รับ Sentiment บวกจากความร่วมมือลดปริมาณผลิตน้ำมัน สูงกว่า 1.2 ล้านบาร์เรล ถึง 152% ประกอบกับการเพิ่มปริมาณผลิตน้ำมัน 1 ล้านบาร์เรล/วัน ของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันเพื่อชดเชยปริมาณส่งออกน้ำมันของอิหร่านและเวเนซูเอล่า ดีกว่าคาดหมายก่อนหน้าที่คาดสูงถึง 1.5 ล้านบาร์เรล และมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ โดยสหรัฐฯ เรียกร้องให้ประเทศพันธมิตร ระงับการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านภายในวันที่ 4/11/61

ส่วนปัจจัยที่ยังคงกดดันภาพรวมการลงทุนในเดือนนี้ คือ Fund Flow ต่างชาติยังขายสุทธิตลอดครึ่งปีแรก 2561 จำนวน 180,077 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาคส่วนใหญ่

ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. ไอร่า (AS) กล่าวเพิ่มว่า สำหรับปัจจัยที่ยังคงต้องจับตาสำหรับเดือนก.ค.นี้ คือ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่คาดยังมีความไม่แน่นอน และคาดสร้างความผันผวน รวมถึงส่งผลต่อความเชื่อมั่นลงทุน เช่นที่เกิดขึ้นเมื่อมี.ค.-มิ.ย. ที่ผ่านมา รวมถึงการประชุมเฟดที่จะจัดขึ้นในวันที่ 31/7/61- 1/8/61 คาดการณ์ว่ามีการคงอัตราดอกเบี้ย ไว้ที่ 1.75-2.00% และคาดปรับขึ้นอีก 2 ครั้ง ในเดือนก.ย. และธ.ค. ตามลำดับ และ Bond Yield โดย Bond Yield สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลดลงต่อเนื่อง จากกลาง พ.ค. ที่ผ่านมา หลังขึ้นไประดับสูงสุดที่ 3.07% ซึ่งคาดน้ำหนักกดดันต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลดลง

ดังนั้นประเมินกลยุทธ์การลงทุนในเดือนก.ค. ว่ามีโอกาสฟื้นตัว หลังเดือนที่ผ่านมาดัชนีปรับลงสู่ระดับต่ำสุด 1,595.58 จุด นับจากต้นปีที่ผ่านมา คาดตลาดส่วนใหญ่สะท้อนปัจจัยลบจากประเด็นต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า ที่สำคัญ เช่น จีน และกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (EU) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นความเสี่ยง จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นมีความรุนแรงขึ้น อาจเป็นประเด็นที่สร้างความขัดแย้งระหว่างประเทศ และอาจส่งผลต่อการขยายตัวเศรษฐกิจของโลก และการจำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศ (รวมจีน) ที่ยังมีความไม่แน่นอน

ขณะที่คาดการประชุมเฟด (31/7/61-1/8/61) ยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.75-2.00% พร้อมแนะติดตาม Bond Yield หากปรับเพิ่มขึ้น อาจกลับมามีผลต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงตลาดหุ้น และคาดยังส่งผลให้ Fund Flow ยังคงไหลออกจาก Emerging Market ทางด้านราคาน้ำมันคาด Sentiment บวก คาดส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน ทางด้านประเด็นในประเทศ เริ่มเข้าสู่ช่วงประกาศผลการดำเนินงาน-Q2/61 คาดมีแรงเก็งกำไร (+/-) ถึงกลางเดือนส.ค. ขณะที่คาด Fund Flow มีโอกาสไหลกลับหากมีการกำหนดวันเลือกตั้งชัดเจน พร้อมคาดหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายของต่างชาติ กลับมาได้รับความสนใจ

อย่างไรก็ตาม วางกรอบดัชนีเดือนกรกฎาคมไว้ที่ 1,670-1,717 จุด ทั้งนี้ แนะนำทยอยสะสม หุ้นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ หลัง Fund Flow ไหลกลับ เช่น ADVANC, BBL และ PTTEP รวมถึงหุ้นที่มีความปลอดภัยภายใต้เงินปันผลที่จ่ายเป็นประจำ เช่น TMT ที่คาด Dividend Yield ปี 2561 สูงถึง 8.0% ประกอบกับหุ้นที่คาดผลการดำเนินงานดีขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบไตรมาสก่อน เช่น HTECH และหุ้น CBG ที่คาดว่าผลการดำเนินงานกลับมาเติบโตในปี 2562 เป็นต้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน