จากโศกนาฏกรรมโกดังดอกไม้เพลิงและพลุระเบิดที่ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 12 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 100 ราย บ้านเรือนเสียหาย และประชาชนได้รับผลกระทบอีกจำนวนมาก
กระทรวงมหาดไทยมีหนังสือด่วนที่สุดถึงนายอำเภอ 878 อำเภอทั่วประเทศ กำชับแนวทางการควบคุม ตรวจสอบผู้รับใบอนุญาตให้ทำ สั่ง นำเข้า หรือค้าดอกไม้เพลิง
พร้อมสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดทุกแห่งให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน ควบคุม ตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และให้การดำเนินการตามกฎหมายอาวุธปืน กระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอีก
จากมาตรการดังกล่าว สังคมคาดหวังจะทำอย่างจริงจังและตลอดไป ไม่ใช่วัวหายล้อมคอก หรือไฟไหม้ฟาง ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายกรณี
หลังเกิดเหตุระเบิดล่าสุดนี้ นอกจากการช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ได้รับผลกระทบจากความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้าง เช่น การรักษา และการชดเชยเยียวยาในด้านต่างๆ แล้ว
เจ้าหน้าที่จะต้องสอบสวนดำเนินคดีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้นเหตุทำให้เกิดระเบิด โดยเฉพาะผู้เกี่ยวข้องกับโกดังดอกไม้ไฟ ซึ่งขณะนี้ตำรวจออกหมายจับสามีภรรยาเจ้าของโกดังแล้ว
อีกทั้งจากการตรวจสอบประวัติพบว่า ทั้งคู่เคยถูกตำรวจจับกุมเมื่อ 7 ปีก่อน ในคดีค้าดอกไม้เพลิงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ และฝ่าฝืนเจ้าพนักงานตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่สุดท้ายไม่ถูกดำเนินคดี เนื่องจากสั่งไม่ฟ้อง
นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งย้ายตำรวจท้องที่ 4 นาย ประกอบด้วย ผกก. รองผกก.ป. สวป. และสว.สส. พร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงควบคู่ไปด้วย
นอกจากการช่วยเหลือ การดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้อง การสั่งย้ายตำรวจท้องที่ผู้รับผิดชอบ บกพร่อง ปล่อยปละละเลย ยังมีเสียงเรียกร้องให้ตรวจสอบขยายผลไปยังหน่วยงานอื่นร่วมด้วยหรือไม่
เนื่องจากขณะนี้บริเวณสถานที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึก เป็นพื้นที่บังคับใช้กฎหมายพิเศษในการแก้ปัญหาความรุนแรงชายแดนภาคใต้ อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานความมั่นคง
จึงเกิดคำถามว่ามีการปล่อยปละละเลยให้มีวัตถุอันตรายอยู่ในพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึกได้อย่างไร และมีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ผิดกฎหมายหรือไม่
ดังนั้น รัฐบาลและหน่วยงานรัฐระดับสูงจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างด้วย ไม่ใช่แค่ดำเนินคดีเจ้าของโกดัง และย้ายตำรวจท้องที่เท่านั้น
