ผัว‘เจ๊ยุ’เดือดสวนตร. ทอง50บาทเงิน5แสนหายจริง ไปจับคนฆ่าเมียดีกว่าจับผิดครอบครัว

จากกรณีคนร้ายบุกยิง ‘เจ๊ยุ เขียงเนื้อ’ นางยุพากร บุราญรัตน์ อายุ 44 ปีได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา ภายในบ้านพักเลขที่ 162 บ้านโนนข่า ต.หัวหนอง อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา

ซึ่งคดีนี้มีหลานชายเจ๊ยุ อายุ 4 ขวบจดจำใบหน้าคนร้ายได้พร้อมระบุคือ นายวุฒิชัย บุราญรัตน์ อายุ 44 ปี น้องชายแท้ๆ นายวรวิทย์ บุราณรัตน์ สามีเจ๊ยุ ต่อมาตำรวจควบคุมตัวมาสอบสวนและออกหมายจับนำตัวส่งฝากขังที่ศาลไปแล้ว ขณะที่สามีเจ๊ยุ ระบุว่า คนร้ายชิงเอาทองคำน้ำหนักรวม 50 บาท และเงินสดจากการขายวัวรวมประมาณ 500,000 บาทไป ไม่ได้อยู่ครบตามที่ตำรวจออกมาระบุ

ความคืบหน้าเรื่องนี้ วันที่ 19 ธ.ค. ที่บ้านเลขที่ 75 หมู่ 5 บ้านร่องดูก ต.กุดเพียขอม อ.ชนบท จ.ขอนแก่น สถานที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพ “เจ๊ยุ เขียงเนื้อ” นายทวีศักดิ์ สารทรัพย์ ยุติธรรมจังหวัดขอนแก่น ได้เดินทางมาเคารพศพพร้อมเข้าพูดคุยกับนายวรวิทย์ บุราญรัตน์ อายุ 48 ปี สามีเจ๊ยุ เพื่อสอบถามรูปคดีและการให้ความช่วยเหลือตามสิทธิที่ได้รับ และชี้แจงละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองเหยื่อในคดีอาญา

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ขณะที่นายวรวิทย์ กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขึ้นคนในครอบครัวทุกคนไม่สบายใจอย่างมาก เพราะข่าวออกมาไม่เป็นความจริง ตนนั้นไม่เคยคิดฆ่าภรรยาตัวเอง มีแต่ทำทุกอย่างให้ภรรยามีความสุข พี่น้องเพื่อนบ้านทุกคนล้วนทราบดี ที่สำคัญคือทรัพย์สินนั้นหายไปจริง ทั้งทองคำรูปพรรณที่ใส่ติดตัวน้ำหนักรวม 25 บาท ทองคำรูปพรรณที่อยู่ในกระเป๋าที่ภรรยาเพิ่งซื้อมาอีกน้ำหนักรวม 20 บาท สร้อยคอของลูกชายอีก 5 บาท รวมเป็นทองที่หายไปทั้งหมด 50 บาท ส่วนเงินสดที่หายไปนั้นเป็นเงินในส่วนที่ขายวัว 17 ตัวๆละ 30,000 บาท รวมอยู่ในกระเป๋าถือประมาณ 500,000 บาท

“นอกจากนี้มีทั้งเอกสารสำคัญต่างๆมากมาย รายละเอียดทั้งหมดผมบอกตำรวจไปหมดแล้ว แต่ตำรวจกลับมาบอกว่าทรัพย์สินยังอยู่ครบ และดูเหมือนว่าสงสัยคนในครอบครัว ซึ่งไม่มีความเป็นธรรมให้กับครอบครัวผมเลย พร้อมทั้งมีข่าวว่าเป็นการฆ่าหวังเงินประกันบ้าง เรื่องชู้สาวบ้าง ซึ่งผมไม่เคยพูดหรือให้ข่าวลักษณะนี้กับใครแต่อย่างใด แต่กลับมีข่าวออกมาถึงเรื่องดังกล่าว ทำให้ผมและครอบครัวไม่สบายใจอย่างมาก”

นายวรวิทย์ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการสอบสวนนั้นตนยังได้ให้ข้อมูลไปว่าที่บ้าน นอกจากมีเขียงเนื้อ ขายเนื้อวัวชำแหละแล้ว ภรรยายังได้เปิดร้านขายอาหารอีสานประเภทลาบ ก้อย ซึ่งมักจะมีลูกค้าขาประจำ 3-4 คน เข้ามานั่งดื่มกินเป็นประจำ และคนกลุ่มนี้จะเห็นตนและเจ๊ยุนับเงินทีละจำนวนมากบ่อยครั้ง จึงอยากให้ตำรวจนำกลุ่มคนเหล่านี้มาสอบสวน เพราะหากล่าช้าคนร้ายก็หลบหนีไปไกล ดีกว่าจะมาจ้องจับผิดคนในครอบครัว สำหรับน้องชายที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้นั้นก็ขอให้ว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน