ทรัมป์ถอดถอนสหรัฐ จาก “คณะมนตรีสิทธิมนุษยชน” รับไม่ได้ปมรุม “ยิว”
ทรัมป์ถอดถอนสหรัฐ – วันที่ 20 มิ.ย. นิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถอดถอนสหรัฐจากการเป็นสมาชิก คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชอาร์ซี) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐสมาชิกถอนตัวจากยูเอ็นเอชอาร์ซีด้วยความสมัครใจ ส่งผลให้สหรัฐเปลี่ยนสถานะจากประเทศแนวหน้าที่เรียกร้องและออกโรงปกป้องสิทธิมนุษยชน ย้ายฝั่งมาอยู่กับอิหร่าน และเกาหลีเหนือ ซึ่งมีวิกฤตละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
นางนิกกี อาร์. ฮาลีย์ ทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กล่าวต่อที่ประชุมว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติผ่านความเห็นชอบ 5 ข้อมติต่อต้านอิสราเอล ซึ่งมากกว่าจำนวนรวมของข้อมติต่อต้านเกาหลีเหนือ อิหร่าน และซีเรียเสียอีก
การแสดงความเกลียดชังต่อต้านอิสราเอลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนมีแรงบันดาลใจโดยใช้อคติทางการเมือง ไม่ใช่จากสิทธิมนุษยชน หากคณะมนตรีจะโจมตีประเทศที่สนับสนุนการปกป้องสิทธิมนุษยชน และให้ความคุ้มครองประเทศที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนแล้ว สหรัฐก็ไม่ควรให้ความเชื่อถือต่อคณะมนตรีอีกต่อไป
การถอนตัวของสหรัฐจุดชนวนให้หลายฝ่ายไม่พอใจ รวมถึงแสดงความคิดเห็นต่อต้านอย่างดุเดือด นายจอห์น ซิฟตัน ผู้อำนวยการ ฮิวแมนไรท์วอตช์ กล่าวว่าทางการสหรัฐเหมือนจะสนใจแค่ปกป้องอิสราเอล หากรัฐบาลของนายทรัมป์ร้องเรียนว่าคณะมนตรีมีความลำเอียงและบกพร่องต่อหน้าที่ในการปกป้องสิทธิมนุษยชน สิ่งที่สหรัฐกำลังทำนั้นยิ่งกว่า
ขณะที่ นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่าคงจะดีกว่าหากสหรัฐยังเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน พร้อมย้ำว่ายูเอ็นเอชอาร์ซีเป็นองค์การระหว่างประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล โพสต์ข้อความชื่นชมสหรัฐผ่านทางทวิตเตอร์ โดยระบุว่า “การตัดสินใจของสหรัฐที่ถอนตัวออกจากหน่วยงานซึ่งมีอคตินี้ เป็นแถลงการณ์ที่ชัดเจนมากว่าพอคือพอ”
ด้าน นายเอลเลียต อาบรามส์ เจ้าหน้าที่อาวุโสสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวว่าความมีอคติต่อกรณีอิสราเอลของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนนั้น เป็นเรื่องยากที่จะละเลยได้ “มีข้อถกเถียงเสมอสำหรับการคงสถานะสมาชิก เพราะสหรัฐจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าเพื่อปกป้องอิสราเอล แต่เมื่อการประนีประนอมในคณะมนตรีแห่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหวังพึ่งได้ การถอนตัวจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม”
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกรณีใช้มาตรการ “ความอดทนเป็นศูนย์” พรากเด็กกว่า 2,000 คนจากพ่อแม่ผู้อพยพผิดกฎหมายในช่วงเดือนเม.ย. ถึง พ.ค. ซ้ำร้ายเด็กหลายร้อยคนยังถูกกักกันในสถานกักตัวต่างด้าว รวมถึงโกดังเก็บสินค้า และร้านค้าท้องถิ่น ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ระงมของเด็กๆ ที่เรียกหาพ่อแม่อย่างน่าเวทนา
อ่านต่อ:
จับลูกแยกจากพ่อแม่ สื่อสหรัฐเปิดคลิปเสียงเด็กร้องไห้สะอื้น
เบื้องหลังภาพแชร์ทั่วเน็ต เด็กน้อยร้องไห้จ้า สหรัฐตรึงกฎแยกลูกจากพ่อแม่