‘เดียร์-เกศปรียา’ โฆษกหญิง เปลือยใจ โดนมองเป็นแค่ไม้ประดับการเมือง!!

เปิดตัวในฐานะโฆษกหญิงฝีปากกล้า ของพรรคเพื่อชาติไปแล้ว สำหรับ น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง หรือ ‘เดียร์’ สาวสวยอายุ 28 ปี ที่ผันตัวเองจากผู้ประกาศข่าว สู่สนามการเมือง เพียงระยะเวลา 5 เดือน ก็กลายเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ที่น่าจับตามองอีกคนหนึ่ง ประเดิมด้วยการพูดพาดพิงผู้มีอำนาจอย่างไม่เกรงกลัว ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นยุคของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง โดยหลายพรรคการเมืองให้โอกาสผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วม และมีตำแหน่งสำคัญมากกว่าในอดีต จนกลายเป็นกระแสดอกไม้งาม หรือนางฟ้าการเมือง เพราะหลายคนมีหน้าตาที่สวยจนแทบจะเป็นดาราได้เลย

วันนี้ข่าวสดออนไลน์ มีโอกาสพูดคุย ล้วงลึกถึงความสนใจทางการเมือง ถามตอบทุกข้อสงสัยให้กระจ่าง

แรงผลักดันสู่การเมือง

ความขัดแย้งถือว่าเป็นปัญหาหลักและเกิดขึ้นเรื้อรังในสังคมไทย มันมีมายาวนานมาก จนวันนี้ถ้าไม่แก้ต้นตอที่ปัญหาก็คงไม่สามารถแก้ไขได้ ปัจจุบันเป็นยุคที่สังคมเมืองกำลังเติบโตขึ้น มันทำให้เรายึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง มองเพียงข้อดีของตัวเอง และมองเห็นข้อเสียของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้คนเราห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นคนไม่ค่อยพูดคุยกัน ตนอยากให้ประเทศไทยกลับมาเป็นสยามเมืองยิ้มเหมือนเดิม แต่ก็เข้าใจว่าสังคมเมืองนั้นทำให้เกิดสภาวะปากกัดตีนถีบ จนบีบให้ผู้คนจำเป็นต้องใช้ชีวิตในแนวทางนี้ พรรคเพื่อชาติจึงมีนโยบายที่เรียกว่า นโยบายทลายกำแพงใจ เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติ ให้สามารถเดินจับมือกันในการพัฒนาประเทศได้ ประเทศไทยก็จะกลับมาเป็นประเทศสยามเมืองยิ้ม และพัฒนาอย่างยั่งยืนได้

ปากกล้า พูดตอกหน้าผู้มีอำนาจ

ตนจะไม่ขอใช้คำว่า ‘กล้า’ ที่ออกมาพูดถึงประเด็นร้อนแบบนั้น เพราะจริงๆ ที่ออกมาพูดก็เป็นเรื่องที่ศึกษามาจากเรื่องในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มันเป็นความคิดเห็นที่คิดว่าเราอายุเท่านี้ และจะต้องใช้ชีวิตต่อไปอีกประมาณ 60 ปีข้างหน้า จึงรู้สึกว่าไม่อยากจะฝากชีวิตไว้กับคนรุ่นปัจจุบันที่มีความคิดแบบนี้ คือไม่ได้ว่าพวกเขามีความคิดไม่ดี แต่ว่าพวกเขาควรจะมีความเอื้ออาทร และควรจะเปิดรับความคิดเห็นต่าง แทนที่จะมายึดถือว่าคนที่ถูกคือคนที่คิดเหมือนตัวเอง

ตามหลักประชาธิปไตย ความแตกต่างคือ ความสวยงาม เราสามารถแตกต่างได้ แต่ไม่แตกแยก ในสังคมเราขณะนี้กลับสร้างวาทกรรมที่บอกว่า “คนเห็นต่างคือ คนที่เลวร้าย” สิ่งนี้จะยิ่งสร้างความขัดแย้งที่ฝังรากลึกในสังคมมากขึ้น ตนจึงอยากจะให้ทุกคนเปิดใจกว้างๆ และรับฟังความเห็นของคนอื่น คนเรามีทั้งด้านสว่างและด้านมืด เราต้องมองเห็นด้านมืดของตัวเอง และเข้าใจว่าเรามีข้อผิดพลาดในส่วนไหน ให้มองเห็นข้อดีของคนอื่นบ้าง และความเห็นต่างของคนอื่นบ้าง เพื่อนำมาปรับรวมกัน และใช้พัฒนาบ้านเมืองให้เดินต่อไปข้างหน้าได้ เราเป็นสังคมยุคใหม่ หมดเวลาที่จะมาทะเลาะกันแล้ว

อนาคตประเทศที่ถูกกำหนดโดยคนที่กำลังจะจากไป

คนที่มากำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี บางคนอายุ 60 ปี ก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตครบ 20 ปีหรือเปล่า แต่คนที่มารับเรื่องพวกนี้ต่อคือคนรุ่นใหม่อย่างพวกเรา การที่ก้าวเข้ามาในเส้นทางการเมือง เพราะเชื่อว่าการเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัว และใกล้ตัวสำหรับพวกเรา การที่อาสาเข้ามาก็แทบไม่ได้ประโยชน์อะไร มีแต่เปลืองตัว เพราะต้องถูกด่า ถูกว่ามากมาย แต่ก็ยังอดทน เพราะอยากจะเข้ามาแก้ไขปัญหาในส่วนนี้จริงๆ อยากเห็นประเทศไทยปราศจากความขัดแย้ง และรักใคร่กลมเกลียวกัน

อุปสรรคของ ‘ความสวย’ กับ ‘ไม้ประดับทางการเมือง’

คำด่าว่าก็มาจากคนหลายฝ่าย เรายอมรับว่ามีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบเรา บางคนก็ไม่ชอบที่เราเป็นเรา แต่บางคนก็ไม่ชอบที่เรามาอยู่ในจุดของสนามการเมือง คือ ประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องขั้วทางการเมืองอยู่ ทั้งที่ความจริงมันควรจะหมดไปได้แล้ว คนที่ด่าก็มีพูดว่า ‘เป็นแค่ไม้ประดับในเส้นทางการเมืองเท่านั้น’ ผู้หญิงก็คงมีแค่ความสวยเอามาใช้เป็นเครื่องมือ หลายๆ พรรคก็มีผู้สมัครที่เคยนางงาม พริตตี้ หรือผู้ประกาศข่าว ก็สงสัยว่าทำไมต้องมามองว่า คนนี้เป็นอะไร ทั้งที่ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน ทุกคนเป็นมนุษย์ คือเรื่องเหล่านี้ก็จะวกกลับมาที่ความเหลื่อมล้ำ และการดูถูกเหยียดหยามกดขี่ทางเพศ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่รับไม่ได้

การทำงานการเมืองให้ก้าวข้ามพ้น ‘ความสวย’ นั้น ส่วนตัวเชื่อว่าผู้หญิงในปัจจุบัน เก่ง มีศักยภาพ และมีความสามารถกันเยอะมาก แต่ผู้หญิงมักจะถูกกีดกันให้ออกจากการเมือง ซึ่งตนก็เคยถูกปลูกฝังมาว่า การเมืองเป็นเรื่องอันตราย และผู้หญิงไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ เพราะผู้ชายต้องการเป็นผู้นำ จึงต้องการกดขี่ผู้หญิง สมัยก่อนผู้ชายเป็นหัวหน้าทำงานเลี้ยงดูครอบครัว ส่วนผู้หญิงอยู่บ้านเลี้ยงลูก แต่ปัจจุบันผู้หหญิงหลายคนกลับสามารถเป็นหัวหน้าครอบครัวได้ ซึ่งมันก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่า ผู้หญิงกับผู้ชาย ไม่ได้มีข้อแตกต่างกันในเรื่องศักยภาพการทำงาน

ฉะนั้นผู้ชายก็ควรจะเปิดใจให้กว้าง และยอมรับ อยากให้หยุดมานั่งแยกว่าเป็นผู้หญิง หรือผู้ชายได้แล้ว ตนคิดว่าควรจะเคารพและให้เกียรติทุกคนที่มีความรู้ความสามารถ ยกตัวอย่าง นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ท่านก็เป็นผู้ชาย แต่ในคณะกรรมการพรรค 27 คน มี 8 คนที่เป็นผู้หญิง เพราะทางพรรคให้โอกาสทุกคนอย่างเสมอภาคกัน ตนก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้รับโอกาส แม้ว่าบ้านจะไม่ได้มีฐานะ หรือนามสกุลไม่ดัง ซึ่งก็มองว่าประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เพราะหลายพรรคการเมืองเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น

ไม่คาดหวังว่าจะได้เป็นส.ส. แค่อยากเข้ามามีส่วนช่วยประเทศ

ตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมือง ก็ไม่ได้คาดหวังว่า จะได้เป็นส.ส. หรือไม่ได้เป็นส.ส. เพราะเข้ามาเพื่อเป็นอาสาของประชาชน และก็เข้ามาทำอย่างสุดความสามารถในทุกๆ วัน มองแค่วันนี้ และวันพรุ่งนี้ ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ให้ประชาชนตัดสินว่าจะให้โอกาสเราเข้าไปนั่งในตำแหน่งนั้นหรือไม่ แต่หากไม่ได้เป็นส.ส. ก็จะไม่เสียใจ เพราะวันนี้รู้ว่าตัวเองทำเต็มที่แล้ว และก็ยังมีงานการเมืองในแนวทางอื่น หรืออาชีพอื่นที่สามารถช่วยเหลือประเทศได้ แต่ตนก็มีโครงการส่วนตัวที่อยากจะทำคือ โครงการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ เด็ก และสตรี เพื่อรองรับสำหรับโลกอนาคต และเทคโนโลยีต่างๆ

ผู้หญิงก็เล่นการเมืองได้

ความเป็นผู้หญิงของตนไม่ได้มีอุปสรรคในเส้นทางการเมืองเลย และก็เชื่อมั่นมาตลอดว่าผู้หญิงอย่างเราทำได้ การลงพื้นที่หาเสียงแต่ละครั้ง ต้องเผชิญกับอากาศร้อน ฝุ่น และมลพิษมากมาย แต่ก็รู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ และเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เพราะเมื่อเราจดจ่ออยู่กับมัน เราก็จะลืมปัญหา และอุปสรรคเหล่านี้ไปหมด ตนยังเคยจินตนาการว่า วันหนึ่งมีครอบครัว มีลูก และหากได้เป็นส.ส. ก็คิดว่าคงอุ้มลูกเข้าไปในสภาด้วย เหมือนกับ จาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ส่วนตัวรู้สึกชื่นชมผู้หญิงคนนี้มาก เธอเข้ามาสู่เส้นทางการเมืองเมื่อตอนอายุ 28 ปี เหมือนกับตนตอนนี้ และทุกวันนี้เธอก็อุ้มลูกเข้าไปทำงานในสภาด้วย จึงเป็นบทพิสูจน์แล้วว่า ผู้หญิงเราสามารถมีลูก และทำงานไปพร้อมกันได้ ผู้หญิงเราเป็นคนที่มีความอดทนสูง ตนเชื่อเสมอว่า ผู้หญิงเรามีศักยภาพที่จะทำสิ่งต่างๆ เพียงแต่ขึ้นอยู่กับโอกาส และเวลา ที่ทำให้แตกต่างกัน

การเมืองไม่ใช่เรื่องอันตราย

ตนจึงผลักดันตัวเองเข้าสู่เส้นนี้ เพื่อเรียกร้องให้ผู้หญิงเข้ามาสนใจการเมืองมากขึ้น เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่อันตรายเลย ตนกล้าพูดแบบนี้เพราะได้เข้ามาสัมผัสแล้ว เพียงแต่เราต้องวางแผนรับมือกับปัญหาที่จะต้องเผชิญ และต้องมีความอดทนมากขึ้น ตอนนี้ก็ยังไม่เคยถูกข่มขู่จากฝ่ายใด เพราะเชื่อว่าการมีสิทธิเสรีภาพแสดงออกทางความคิด เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนสามารถทำได้ และการที่เราออกมาแสดงความคิดเห็นส่วนตัว หรือในนามของพรรคก็ตาม ทั้งหมดมีที่มาที่ไป ผ่านการศึกษาข้อมูลต่างๆ คนรุ่นใหม่เติบโตมาพร้อมกับปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม รวมไปถึงการรับรู้ผ่านคนรุ่นก่อน เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย ทำให้เรามองเห็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ฉะนั้นการที่ตนให้ความคิดเห็นไป ก็อยากให้เข้าใจว่า เป็นเสียงสะท้อนเล็กๆ จากประชาชนคนไทย ไปสู่ผู้มีอำนาจให้รับทราบถือปัญหาที่แท้จริง หันยึดโยงกับประชาชนจริงๆ ไม่ใช่ยึดติดกับผลประโยชน์ตัวเองเป็นหลัก ไม่เช่นนั้นประเทศจะไม่สามารถเดินหน้าพัฒนาต่อไปได้

ทิ้งความถูกต้องของตัวเอง หันมาพูดคุยกัน

ปัญหาคาราคาซังที่เกิดขึ้นในสังคมไทย คือ ความขัดแย้ง คือทุกคนจะต้องมีข้อเสีย และความผิดในตัวเองอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันต่างคนต่างยึดความถูกต้อง อยากจะเอาชนะอีกฝ่าย ตนอยากจะให้ทุกคนลดทิฐิตัวเองลงมา และเปิดใจวิพากษ์ข้อผิดพลาดของตัวเองบ้าง และมองข้อดีของคนอื่นบ้าง พรรคเพื่อชาติของเราได้สร้างพื้นที่เพื่อรองรับการพูดคุย ให้ทุกฝ่ายหันหน้ามาถกปัญหา หาทางแก้ร่วมกัน ไม่ว่าในอดีตจะเคยใส่เสื้อสีอะไร หรือเข้าข้างฝ่ายไหน ต้องหันมาแก้ปัญหาอย่างเร็วที่สุด เพราะเรายังต้องอยู่ในสังคมนี้อีกนาน และก็เพื่อคนรุ่นลูก รุ่นหลานของเราด้วย

บทบาทสำคัญของพรรค

หลายคนบอกว่าไม่ค่อยเห็นบทบาทของหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ หรือคุณจตุพร พรหมพันธุ์ แต่เป็นเราที่ออกมาเป็นตัวแทนในการแสดงออกแทน ก็คิดว่าเป็นไปตามหน้าที่ในฐานะโฆษกพรรคที่ต้องออกสื่อมากกว่าตำแหน่งอื่น แต่ถ้าดูตามความจริง คุณสงครามก็ยังทำหน้าที่หัวหน้าพรรคอย่างต่อเนื่อง ท่านคร่ำหวอดอยู่ในสนามการเมืองมาอย่างยาวนาน ดำรงตำแหน่งมากมาย การทำหน้าที่โฆษกพรรคการเมืองนั้น ตนถือว่าอ่อนประสบการณ์ในเส้นทางนี้ เป็นงานที่ใหม่มาก แต่การอาสาเข้ามาทำงานนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด และไม่ต้องการหวังผลอะไร การดีเบตในแต่ละครั้ง ก็มาจากพื้นฐานของข้อมูลความเป็นจริง และไม่โจมตีคนอื่น ทำทุกอย่างที่ยึดถือประชาชนเป็นหลัก

ไม่ยกย่อง ‘ความสวย’

ส่วนเรื่องนักการเมืองสวย ตนไม่ได้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเท่าใด ไม่เคยคาดหวังว่าคนอื่นจะคิดกับเราอย่างไร ตนรู้สึกว่า ‘ความสวย’ มันก็เท่านั้น ตอนนี้แค่อยากเอาเวลามาพัฒนาตัวเอง เพราะรู้ตัวว่าตัวเองไม่มีประสบการณ์ ทุกครั้งจะกังวลกับความไม่รู้ในบางเรื่อง จะเห็นว่าช่วงแรกที่เปิดตัวพรรคเพื่อชาติ ตนยังไม่ได้ทำหน้าที่ของโฆษกเท่าที่ควร แต่ก็มีโอกาสแลกเปลี่ยนกับคนรุ่นก่อน ซึ่งก็ทำให้เข้าใจว่าการอยู่ในวงการนี้มา 5 เดือนนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรกล่าวโทษตัวเอง

ตลอดชีวิตที่ผ่านมาตนมักจะได้รับโอกาสมากกว่าคนอื่นเสมอ โดยที่ไม่ต้องแข่งขันทะเยอทะยานมาก แต่การที่เราได้อะไรมาง่ายๆ มันก็เป็นดาบสองคมเหมือนกัน ตอนแรกที่ได้เป็นโฆษกพรรค ก็ยังไม่เข้าใจบริบทการทำงาน คิดแค่ว่าเป็นเพียงคนที่ออกมาพูดแสดงความคิดเห็น หรือประชาสัมพันธ์พรรค แต่พอได้ทำจริงๆ มันตรงข้ามกับสิ่งที่เคยคิดมาทั้งหมด สุดท้ายเราต้องกลับไปย้อนคิด และวางแผนใหม่ทั้งหมด แต่ก็รู้สึกว่าต้องสู้ และเดินหน้าต่อเท่านั้น ตนไม่มีใครเป็นไอดอลในการเมืองไทย แต่จะใช้วิธีเลือกข้อดีที่เราเห็นนำมาปรับใช้แทน เพราะเชื่อในอุดมการณ์ และความตั้งใจของการทำงานการเมืองของตัวเองมากกว่า

ช่วงแรกที่เข้าสู่สนามการเมือง คุณพ่อคุณแม่ก็รู้สึกเป็นห่วง แต่เราก็ถือว่าเป็นคนที่ดื้อ และมีความมั่นใจในตัวเองพอสมควร ซึ่งเราก็พยายามลดระดับในเรื่องนี้ลงบ้าง เพราะไม่เช่นนั้นก็คงไม่ต่างจากคนที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง อย่างไรก็ตามรู้สึกว่าหากทำแล้วมันไม่ดีต่อตัวเรา ก็แค่ถอยออกมาเท่านั้นเอง ซึ่งเรายังเชื่อว่า ผู้หญิงเราสามารถอดทนต่อสิ่งต่างๆ ได้เยอะมาก และตอนนี้ก็ยังถือว่าทนได้อยู่ ถ้าเทียบตามจริง สิ่งที่เจออยู่ก็ยังไม่ถือว่าตัวเองใช้ความอดทนเลย

ไปต่อไม่ได้ก็แค่ถอยออกมา

การเลือกตั้งในครั้งนี้ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ (หัวเราะ) แต่เราได้เห็นปรากฏการณ์และการตื่นรู้ทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ มีโอกาสที่ได้สะท้อนความคิด และปัญหา หากมีโอกาสเข้าไปเป็นส.ส. ก็สามารถเข้าไปแก้ไขในระดับนโยบาย ที่จะส่งผลต่อประเทศชาติได้จริงๆ ถ้าไปต่อไม่ได้ก็แค่ถอยออกมา อาจจะเปลืองตัวบ้าง แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะเปรอะเปื้อนมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง ครั้งที่ตนโต้โฆษกรัฐบาลเรื่องดัชนีความเหลื่อมล้ำ เขาก็ไม่ได้โต้ตอบเรากลับมา ไม่แน่ใจว่าเขามีความเอื้ออาทรเราหรือไม่ คืออาจจะเห็นว่าเราเป็นผู้หญิง และเป็นคนรุ่นใหม่ ส่วนประเด็นเรื่องการตัดงบกองทัพ ตนก็ออกมาพูดตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่ไม่เป็นกระแส ถ้าคิดในทางลบ เขาอาจจะคิดว่าเราเป็นเด็กกะโปโล จึงไม่ลดตัวมาเล่นกับเรา

ไม่ได้เกลียด ‘พล.อ.ประยุทธ์’ แต่แค่พูดแทนประชาชน

การทำหน้าที่โฆษกพรรคที่ผ่านมา ทางผู้ใหญ่ก็เปิดโอกาสให้เราแสดงความคิดเห็นเต็มที่ แต่ก็คอยดู และให้คำแนะนำบ้าง ส่วนการกล่าวพาดพิงถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.นั้น ตนจะแสดงความเห็นส่วนตัวมากกว่า ซึ่งก็ไม่ได้แสดงความเห็นในเชิงเกลียดชัง แต่เป็นข้อมูลจากการลงพื้นที่ และสอบถามจากประชาชน ยกตัวอย่างการสอบถามว่าจะเลือกใครในการเลือกตั้งครั้งนี้ คุณลุงท่านหนึ่งบอกว่า “จะเลือกพล.อ.ประยุทธ์ เพราะเขาเอาตังค์มาให้” แต่บางคนก็เลือกรับเงิน แต่ก็บอกว่าไม่เลือกพล.อ.ประยุทธ์ก็มี ฉะนั้นการพูดของตนจึงเป็นการพูดแทนประชาชน ทั้งที่ก่อนจะมาเล่นการเมืองตนก็ทราบเพียงว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือนายกรัฐมนตรี และไม่ได้สนใจว่าเขาจะทำอะไรบ้าง ที่ผ่านมาหลายคนอาจจะมองว่าเราด่าเขา แต่พูดตามตรงคือ คนทั้งประเทศก็ด่าเขา

ประเทศที่สงบ เพราะคนเห็นต่างถูกจับติดคุก

เมื่อครั้งที่ไปดีเบตกับพรรคพลังประชารัฐ เขาพูดว่า ทุกวันนี้เป็นบทพิสูจน์แล้วว่า ทุกคนยอมรับพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในส่วนนี้ตนก็ไม่ได้ค้าน เพราะอาจจะยังคุยกับประชาชนไม่ทั้งหมด แต่จากการลงพื้นที่ 99 เปอร์เซ็นต์ “ไม่มีใครเลยที่บอกว่ายอมรับในตัวพล.อ.ประยุทธ์ เพียงแต่เลือกไม่ได้” อยากจะถามคสช.ว่า ที่บอกว่าประเทศสงบสุขนั้น ความจริงแล้วไม่ได้สงบสุข เพียงแต่ประชาชนไม่กล้าออกมาแสดงสิทธิเสรีภาพ หรือแสดงความคิดเห็นของตัวเอง หากเห็นต่างก็ถูกจับติดคุก มันคือการถูกกดขี่อย่างแท้จริง ทุกคนอยากพูดและโต้แย้ง แต่ก็รู้สึกกลัว เพราะทุกคนมีครอบครัวที่ต้องดูแล จึงเลือกอยู่เงียบๆ มันจึงกลายเป็นภาพของความสงบเข้ามาแทนที่

ตนเชื่อว่าหากไม่มีเลือกตั้งเกิดขึ้น อาจจะมีการลุกฮือของประชาชน ส่วนจะเป็นอย่างไรก็ต้องคอยติดตามในวันที่ 24 มี.ค. ที่จะถึงนี้ ว่าอนาคตประเทศเกิดความเปลี่ยนแปลงหรือไม่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน