ศบค.เปรียบเทียบมาตรการสู้โควิด “ไทย-เกาหลีใต้” ไม่แตกต่างมาก ย้ำการ์ดต้องไม่ตก หวั่นอาจเป็นแบบ “สิงคโปร์-ญี่ปุ่น” เล็งเคาะ 1 พ.ค.จะยกเลิกประกาศฉุกเฉินหรือไม่

เมื่อวันที่ 16 เม.ย. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า ขณะนี้ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 มากกว่า 2.08 ล้านราย เสียชีวิต 1.34 แสนราย โดยสหรัฐอเมริกา เสียชีวิตสูงสุดในโลก 2.85 หมื่นราย โดยวันเดียวเสียชีวิตเพิ่มถึง 2,482 ราย สเปน 1.8 หมื่นกว่าราย อิตาลี 2.1 หมื่นกว่าราย ฝรั่งเศส 1.7 หมื่นกว่าราย และอังกฤษ 1.2 หมื่นกว่าราย

สำหรับกลุ่มอาเซียนและเอเชีย พบว่า เกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 22 ราย ผู้ป่วยสะสม 10,613 ราย เสียชีวิต 200 กว่าราย เราจะต้องมาเรียนรู้กันว่า เกาหลีดีขึ้นได้อย่างไร ส่วนฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น 230 ราย อินโดนีเซียเพิ่ม 297 ราย มาเลเซียเพิ่ม 85 ราย สิงคโปร์ที่เคยชมก็เพิ่มขึ้น 447 รายในวันเดียว พอกับญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้น 741 ราย สำหรับประเทศไทยอยู่ลำดับ 50 ของโลก การเสียชีวิตยังอยู่ในหลักสิบ

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่ต้องพูดตัวเลขเช่นนี้เพื่อตอบคำถามว่า เราจะผ่อนปรนเรื่องการเคอร์ฟิวอย่างไร ต้องไปดูในเกาหลีใต้ว่า ควบคุมให้ดีขึ้นได้อย่างไร โดยเกาหลีใต้ใช้ 4 มาตรการ ได้แก่ 1.เปิดเผยข้อมูลความเป็นจริง โปร่งใสทั้งหมด ซึ่งไทยก็ทำ เราเปิดหมดทุกข้อมูล เสียชีวิตเมื่อไรเราก็รีบรายงาน และไปถึงระดับของจังหวัด 2.การกักกันเชื้อและการชะลอการแพร่ระบาด ซึ่งไทยก็ทำเหมือนกันผสมกับการรักษาระยะห่าง 3.ระบบการตรวจโรคและรักษา ซึ่งคุณภาพของเราก็ไม่ได้แตกต่างจากเกาหลีใต้ เรามี รพ. มีเตียงเพียงพอ

และ 4.การคัดกรองอย่างกว้างขวาง และระบบติดตามผู้ป่วยสงสัย ของเราอาจแตกต่าง แต่เราใช้เรื่องการค้นหาเชิงรุก ที่ไม่ได้หว่านทั้งหมด แต่เจาะกลุ่มเสี่ยง เพราะเรามีทรัพยากรจำกัด แต่ก็เจอไม่แตกต่าง อีกเรื่องคือการติดตามตัวบุคคลทั้งหลายอย่างเคร่งครัด ของเรายังค่อนข้างปล่อย ซึ่งเกาหลีใต้ติดตามโดยแอปพลิเคชัน Corona 100 M

มาตรการคุมโควิด ไทย-เกาหลี

มาตรการคุมโควิด ไทย-เกาหลี

โดยดึงข้อมูลจากหลายแหล่ง รวมถึงโลเคชันจากมือถือ รวบรวมเป็นประวัติติดเชื้อทำเป็นแผนที่เรียกว่า Corona Map Site พร้อมระบบแจ้งเตือนประชาชนผ่านเอสเอ็มเอส แบ่งพื้นที่สามระดับ เขียว เหลือง แดง ถ้ามีผู้ติดเชื้อเดินเข้าไปก็ควรหลีกเลี่ยง แต่เขาต้องเปิดเผยข้อมูลประชาชนของเขาพอสมควร แต่ของเรายังมีเรื่องสิทธิส่วนบุคคล ก็ต้องมีการพูดคุยกัน แต่ที่เขาทำเช่นนี้เพราะเขาเคยมีผู้ป่วยขึ้นมาเป็นหมื่นคน จึงต้องเปิดเผยข้อมูลเพื่อควบคุมการติดเชื้อให้ได้ และมีนโยบายเสริม คือ ให้ร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่โบสถ์ออนไลน์

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับญี่ปุ่น ขณะนี้สถานกรณ์ทรุดหนัก รัฐบาลคาดว่าอาจติดเชื้ออีกหลายแสนคน จึงประกาศเตือนคนของเขาว่า หากไม่ปฏิบัติตามการเว้นระยะห่าง อาจมีผู้ป่วยสูงถึง 8.5 แสนรายทั่วประเทศ เป็นการส่งสัญญาณถึงประชาชน เหมือนเราที่ส่งสัญญาณ เพราะฉะนั้นการเตือนตรงนี้ของญี่ปุ่นคล้ายไทยที่ผ่านมาแล้ว

กรณีเลวร้ายที่สุด คือ อาจเสียชีวิตครึ่งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ญี่ปุ่นติดมากกว่า 8 พันราย ตาย 146 ราย เขามีผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก คนรับกรรม คือ ผู้สูงอายุที่จะป่วยหนักเสียชีวิตไปมากที่สุด จึงต้องมีการประกาศภาวะฉุกเฉินสัปดาห์ที่แล้ว แต่ก็ยังผ่อนคลายทางด้านธุรกิจต่างๆ ให้คนไปทำงาน ไปขนส่งมวลชน ซึ่งอย่างที่รู้ว่าแออัดมาก

“ตรงนี้หรือไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นมา 2-3 หลักในทุกวัน ถ้าเราเรียนรู้แบบนี้ ญี่ปุ่นกราฟชันขึ้นเพราะตรงนี้หรือไม่ ดังนั้น เราการ์ดอย่าตก เพราะเกิดขึ้นแล้วในญี่ปุ่น สิงคโปร์ ถ้าเราเรียนรู้อย่างนี้ สิ่งที่เรียกร้องอยากจะผ่อนคลาย เมื่อดูจากประเทศที่ทำมาก่อนเรา ผลออกมาเป็นอย่างไร ท่านจะเลือกอย่างไร ต้องพิจารณา ในแต่ละจังหวัดภาพก็ไม่เท่ากัน จะเข้มที่ไหน ผ่อนคลายที่ไหน ประเทศไทยมีการกระจายอำนาจชัดเจน แต่ละจังหวัดก็จะจัดการเรื่องของตัวเองด้วยข้อมูลที่ตัวเองมีอยู่” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

รอเคาะเลิกมาตรการเข้ม โควิด

เมื่อถามว่าจะมีการปลดล็อกสถานการณ์ฉุกเฉินวันที่ 1 พ.ค.หรือไม่ หรือพื้นที่ไม่มีคนติดเชื้อจะยกเลิกหรือไม่ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า การประกาศ พ.ร.ก. คือตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค – 30 เม.ย. หากไม่ประกาศต่อก็คือยกเลิกไป แต่ยังไม่เป็นอย่างนั้น จะบอกว่าวันที่ 1 พ.ค. จะกลับมาเป็นปกติก็คงไม่ใช่ นายกฯบอกต้องประชุมก่อนช่วงหมดอายุวันที่ 30 เม.ย.

กราฟตัวเลขผู้ป่วยโควิด

กราฟตัวเลขผู้ป่วยโควิด

โดยอาจจะประชุมก่อน 1 สัปดาห์ว่าจะขยายหรือไม่ เพราะจะเห็นว่า สิงคโปร์และญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 3 หลัก อินโดนีเซียก็ยังเพิ่มขึ้นอีก ถึง 2 สัปดาห์เราทำได้ดี เพราะท่านร่วมมือในสถานการณ์ฉุกเฉิน ฉะนั้น ทำดีแล้วการ์ดต้องไม่ตก ส่วนแต่ละจังหวัดจะผ่อนปรนตัวเองได้ไหมถ้าทำดี ก็น่าคุยต่อว่าจะผ่อนปรนอย่างไร เพื่อให้หลักการ คือ สุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมไปได้ ซึ่งแนวทางคงเป็นเช่นนี้

“คณะกรรมการชุดใหญ่จะประชุมและจะมีกระบวนการตัดสินเรื่องนี้ แต่เชื่อว่าต้องสู้อีกพอสมควร เพราะข่าวต่าวประเทศยังไม่มีใครกล้ายกเลิก ญี่ปุ่นก็เพิ่งประกาศฉุกเฉิน เพราะการ์ดเขาตกไปหน่อยเลยต้องเข้มขึ้นมา เราดีอยู่จะไปผ่อนลงก็กระไรอยู่ ต้องทำความเข้าใจประชาชนทุกคน เราอยู่ช่วงยากลำบากเหมือนกัน การตัดสินใจขึ้นกับพื้นฐานข้อมูล อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งเรื่องทุกข์ร้อนใจอะไรเราก็รับทราบ ภาครัฐก็กำลังจะช่วยเหลือ ประเทศไทยเราพยายามทำดีทุกๆ ด้าน เรามีคนเก่งๆ มากมายจะช่วยเหลือ ขอให้ใจเย็นเราจะก้าวผ่านไปด้วยกัน” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน