‘ประภัตร’ นำทีม the carbon Underground จากสหรัฐ บุกส่งเสริมการปลูกถั่วเขียวแปลงใหญ่ ลั่นวางเงินประกันไว้ที่ธก.ส. กว่า 1,000 ล้าน แต่ไทยต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ก่อน เชื่อจะช่วยเกษตรกรมีรายได้ ขณะสยามคูโบต้าคาดรายได้ทะลุเป้า 6 หมื่นล้าน หลังราคาสินค้าเกษตรแพงจูงใจเกษตรกรใช้เครื่องจักร

‘ประภัตร’ชวนปลูกถั่วเขียว – นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยในการสัมมนา Agri Forum 2018 เกษตรปลอดการเผา โดยบริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด ว่า รู้สึกดีใจที่ได้เข้ามาทำงานในกระทรวงเกษตรฯ อีกครั้ง ทำให้ได้ใกล้ชิดกับเกษตรกรมากยิ่งขึ้น เป็นบรรยากาศพี่น้อง และลูกทุ่งไปด้วยกัน การเข้ามาทำงานครั้งนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น โดยทุกฝ่ายได้ร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาที่มีอยู่ จึงเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับภาคการเกษตร ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่อต้นปี ไทยผจญกับปัญหาค่าฝุ่นละอองในอากาศ หรือ พีเอ็ม 2.5 เกินมาตรฐาน ซึ่งโทษกันว่ามีสาเหตุมาจากเกษตรที่เผาทำลายเศษวัสดุข้อกล่าวหานี้ต้องยอมรับ แต่เพียง 50% เท่านั้น เพราะที่เหลือยังเป็นผลมาจากภาคอุตสาหกรรม

“ผมเชื่อว่าชาวนา ชาวไร่ ไม่อยากเผา แต่มันเป็นวิธีเดียวที่สะดวก ในการไถ ปรับหน้าดิน หรือตัดอ้อยได้เร็วขึ้น ซึ่งปัจจุบันการเผาเริ่มลดลง จะเห็นได้จากนาข้าวที่สามารถขายฟางได้ ถึงมัดละ 33 บาท ใบอ้อยที่ราคาตันละ 1,000 บาท จึงจูงใจให้เกษตรกรใช้วิธีการอัดฟาง และสางใบอ้อยขาย เหลือเพียงข้าวโพดบนดอย ที่ยังใช้วิธีการเผา เรื่องนี้ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน ช่วยกันรณรงค์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายปลอดการเผาใน 3 ปีข้างหน้า”

นอกจากไม่เผาแล้ว ยังต้องทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดังนั้นตนจึงได้เชิญทีม the carbon Underground ในบริษัท จัส นำทีมโดยนายรัฐชทรัพย์ นิชิด้า คณะทำงานรมช.เกษตรฯ บริษัทนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญการฟื้นบำรุงดินละเป็นผู้รับซื้อสินค้าเกษตรรายใหญ่จากสหรัฐอเมริกา มาให้ความรู้เรื่องเกษตรปลอดภัย โดยบริษัทนี้จะสนับสนุนให้ปลูกถั่วเขียวในประเทศ เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคในสหรัฐ กว่า 50% ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลง และหันมาบริโภคพืช หรือแป้งที่ได้จากการเกษตรปลอดภัยมากขึ้น

การสนับสนุนการปลูกถั่วเขียวในประเทศไทยนี้ ตนจะกำหนดให้เป็นไปในลักษณะแปลงใหญ่ ที่สามารถทำได้ 5 ครั้งต่อปี ใช้น้ำน้อย และที่สำคัญ บริษัทดังกล่าว จะรับซื้อผลผลิตกลับทั้งหมด ภายใต้ระบบคอนแทรกฟาร์มมิ่ง โดยจะนำเงินมาสนับสนุนผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ เนื่องจากไทยยังขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ ดังนั้นบริษัทดังกล่าวจึงจะเป็นผู้จัดหาและนำเข้ามาจำหน่ายให้กับเกษตรกร โดยจะหารือกับกรมวิชาการเกษตรถึงวิธีการและปริมาณความต้องการ

“นาแปลงใหญ่เรามี 3,000 แห่ง ผมกำลังจัดอยู่ และเอาเรื่องฝนแล้ง เอาบาดาล ฝนหลวง เข้าไปช่วยปัญหาภัยแล้ง จากพื้นที่การเกษตร 150 ล้านไร่ เป็นนา 70 ล้านไร่ และ อ้อย 10 ล้านไร่ ที่เหลือเป็นพืชอื่นๆ หากสามารถสร้างประโยชน์ ใช้พื้นที่ต่อเนื่อง ปรับปรุงดินด้วยการปลูกถั่วเขียว ได้จะสร้างรายได้คืนกับเกษตรกรอีกมหาศาล ที่ผ่านมาเกษตรกรไม่สนใจปลูกเพราะไม่มีตลาดรับซื้อ แต่ตอนนี้ผมหาตลาดได้แล้ว ถ้าเริ่มได้ก็จะเริ่มทันที อย่างน้อยในพื้นที่ 5 ล้านไร่ ที่สามารถใช้ที่นาปลูกได้ทันที”

ด้านนายรัฐชทรัพย์ กล่าวว่า การเผาทำลายจุลินทรีย์ และต้องใช้ยาฆ่าแมลง ทำให้ตลาดไม่ซื้อ ดังนั้นถ้าทำดีตั้งแต่ต้น สินค้าที่ได้ก็จะไม่มีปัญหา อีกทั้งยังทำให้ดินดีสมบูรณ์ขึ้น ผลผลิตต่อไร่ก็สูงขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ทาง the carbon Underground พร้อมให้การสนับสนุน

นาย Jerry Kopalt CEO the carbon Underground กล่าวว่า ประโยชน์ เรื่องการไม่เผา จะเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 จะไม่เกิดขึ้นเพราะกลับลงสู่ใต้ดินทั้งหมด โดยดินมีความต้องการคาร์บอนเพื่อช่วยให้จุลินทรีย์เติบโต และเป็นแร่ธาตุสำหรับพืช เกษตรกรจะได้ผลผลิตดีขึ้น วิธีการผลักดันให้คาร์บอนลงสู่ใต้ดินก็คือ การสังเคราะห์แสง ของพืชในแปลง ที่ไม่ต้องใช้งบลงทุนแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้เกษตรกรต้องเลิกเผาอย่างเด็ดขาด

นายสมศักดิ์ มาอุทธรณ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า บริษัทมีเครื่องมือที่จะช่วยเกษตรกรในการไถพรวน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผา ซึ่งที่ผ่านมาการจัดซื้อเครื่องจักรของเกษตรกรไทยเติบโตทุกปีประมาณ 5-10% โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักต่างๆ เช่น สภาพดินฟ้าอากาศ ราคาสินค้าเกษตร เป็นต้น โดยในปีนี้คาดว่าอัตราการเติบโตยังจะเป็นไปตามเป้า เพราะราคาข้าวอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกรณีข้าวขาว ตันละ 7,000 บาท ข้าวโพด ราคาแพง รายางก็กำลับปรับขึ้น ยกเว้นอ้อย ที่เป็นผลมาจากราคาน้ำตาลในตลาดโลก

“อัตราการเติบโตของการใช้เครื่องจักรในประเทศมีโอกาสจะขยายตัวอย่างก้าวกระโดด หากมีมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มานำเสนอ รวมทั้งมีราคาสินค้าเกษตรที่จูงใจ ส่วนรายได้ของบริษัทคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าที่กำหนดไว้ ปีละ 60,000 ล้านบาท ซึ่งจากผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ตามที่คาดไว้”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน