นักลงทุนจับตาเศรษฐกิจสหรัฐหดตัวทุบตลาดหุ้นป่วน หวั่นเกิดวิกฤตศก.โลกระลอกใหม่ – ชี้หุ้นไทยยังคงผันผวนต่อเนื่องตามตลาดหุ้นทั่วโลก

ผวา!วิกฤตศก.โลกระลอกใหม่ – นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า ตอนนี้ภาวะตลาดหุ้นและทั่วโลกกำลังผันผวนอย่างหนัก โดยมีปัจจัยลบจากนอกประเทศ ทั้งสงครามการค้าโลก ตัวเลขเศรษฐกิจเยอรมนีไตรมาส 2 ติดลบ และที่สำคัญการเกิดภาวะผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้นสูงกว่ายาว เป็นการส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐ กำลังถดถอย และอาจเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกระลอกใหม่ขึ้นได้

“จากสถิติการเกิดภาวะ อินเวิร์ต ยีลด์ เคิร์ฟ ในสหรัฐ 5 ครั้งที่ผ่านมา หลังจากนั้น 12-22 เดือน เศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญเข้าสู่ภาวะถดถอย และครั้งนี้ก็เช่นกันเมื่อผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 2 ปี สูงกว่า 10 ปีอีกครั้ง ทำให้เกิดความกังวลต่อนักลงทุนมาก และทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตกลงอย่างรุนแรง ขณะที่หุ้นไทยก็ได้รับผลกระทบตกจากเคย 1,730 จุด เหลือ 1,600 จุด ดังนั้นจะต้องมีการจับตาการเปลี่ยนแปลงเป็นรายวัน แต่เชื่อว่าหุ้นไทยน่าจะดีกว่า เพราะรัฐจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมารับ”

ส่วนการบริหารการลงทุนของ กบข.ได้มีการทยอยปรับแผนลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยได้ลดการลงทุนในหุ้นจาก 16-17% เหลือ 14.5% พร้อมทั้งได้ทำป้องกันความเสี่ยงสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งปัจจุบันมีหุ้นอยู่ในตลาดไทย 7% ตลาดหลักต่างประเทศ 7% และหุ้นตลาดใหม่ต่างประเทศ 2.5% ขณะที่การลงทุนตลาดพันธบัตรมีสัดส่วนใกล้เคียงเดิม แต่ได้ปรับการบริหารภายในเยอะ โดยลดลงทุนพันธบัตรระยะสั้นจาก 28% เหลือ 8% เพื่อรองรับดอกเบี้ยขาลง และหันไปลงทุนในพันธบัตรระยะกลางและยาวแทนซึ่งมีสัดส่วนรวม 62-63% ขณะที่การบริหารผลตอบแทน กบข.ช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.8% และจากนี้จะพยายามทำให้ได้ใกล้เคียงกับเดิม

นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด และในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการการลงทุน (บลจ.) ระบุว่า ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี สูงกว่าผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี นั้นส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ ทำให้นักลงทุนถอนการลงทุนจากตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย

“นักลงทุนคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐไม่ใช่แค่หดตัวเท่านั้น แต่มีโอกาสติดลบและเศรษฐกิจจะไม่ได้ดีขึ้นในอีก 10 เดือนข้างหน้า โดยนักลงทุนคาดว่า สหรัฐอาจใช้เครื่องมือที่มีอยู่ อย่างจำกัด อย่าง QE ออกมาอีกรอบ แต่ก็จะไม่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้นมาก เพราะเป็นสิ่งที่ทำมาหลายครั้งแล้ว ส่วนเศรษฐกิจไทย ส่วนตัวยังมองว่าน่าจะโตได้ 2.9-3%”นางวรวรรณ กล่าว

ส่วนหุ้นไทย มองว่า ยังคงผันผวนต่อเนื่องตามตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากปัจจัยบวกในประเทศยังไม่มีความชัดเจนที่จะทำให้ตลาดปรับตัวดีขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะออกมานั้น จะเป็นมาตรการดูแลเศรษฐกิจในระยะชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจลงทุนเพิ่ม เพื่อทำให้เศรษฐกิจในประเทศแข็งแกร่งเพียงพอ รองรับกับปัจจัยภายนอกมากระทบให้ได้

ดังนั้นนักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น ซึ่งหากต้องการลงทุนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป สามารถใช้จังหวะนี้เข้าไปลงทุนหุ้นที่มีพื้นฐานดี แต่หากต้องการลงทุนระยะสั้น เก็งกำไร นักลงทุนควรระมัดระวังในการลงทุนให้มากขึ้น

ด้านนายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ภัทร มองว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่มีความเปราะบางต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่จะทำให้ดัชนียังคงผันผวนต่อเนื่อง ดังนั้นนักลงทุนควรบริหารจัดการความเสี่ยง การลงทุน ด้วยการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายๆ ประเภท เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ พร้อมทั้งกระจายเวลาการลงทุน เพราะหากตลาดมีการปรับตัวลดลงค่อนข้างรุนแรงนักลงทุนก็ไม่ควรผลีผลามเข้าลงทุน

ทั้งนี้ เชื่อว่านักลงทุนยังคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่จะออกมาว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด ซึ่งมองว่าน่าจะมีผลในระยะสั้น เป็นการประคองเศรษฐกิจ แต่เชื่อว่าต่อไปรัฐบาลจะออกมาตรการดูแลเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาวแน่นอน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน