นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนส.ค. 2567 เท่ากับ 108.79 เทียบกับ ก.ค. 2567 เพิ่มขึ้น 0.07% เทียบกับเดือนส.ค. 2566 เพิ่มขึ้น 0.35% เป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 แต่สูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง
มีปัจจัยสำคัญมาจากการสูงขึ้นของสินค้ากลุ่มอาหาร โดยเฉพาะผักสดและผลไม้สด เนื่องจากสถานการณ์ฝนตกหนักและอุทกภัยในบางพื้นที่เพาะปลูก ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตลดลง รวมถึงข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว และอาหารสำเร็จรูป อาทิ กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวราดแกง และอาหารตามสั่ง ราคาปรับสูงขึ้น แต่สินค้ากลุ่มพลังงาน อาทิ แก๊สโซฮอล์ ค่ากระแสไฟฟ้า ราคาปรับลดลง สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่นๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก
ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก สูงขึ้น 0.62% เร่งตัวขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก.ค. 2567 ที่สูงขึ้น 0.52% หากรวมเงินเฟ้อ 8 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-ส.ค.) เพิ่มขึ้น 0.15%
โดยเงินเฟ้อเดือนส.ค. 2567 ที่สูงขึ้น 0.35% มาจากการสูงขึ้นของหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 1.83% โดยสินค้าสำคัญที่สูงขึ้น กลุ่มอาหารสด อาทิ ผักสด เช่น มะเขือ พริกสด แตงกวา ผักกาดขาว มะนาว ผักบุ้ง กะหล่ำปลี ผลไม้สด เช่น เงาะ มะม่วง กล้วยน้ำว้า ฝรั่ง ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว นมสด และไข่ไก่ กลุ่มอาหารสำเร็จรูป เช่น กับข้าวสำเร็จรูป อาหารกลางวัน (ข้าวราดแกง) อาหารตามสั่ง อาหารเช้า) กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เช่น กาแฟผงสำเร็จรูป น้ำหวาน และกลุ่มเครื่องประกอบอาหาร เช่น น้ำตาลทราย กะทิสำเร็จรูป ขณะที่ยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ เนื้อสุกร ส้มเขียวหวาน ปลาทู น้ำมันพืช และไก่ย่าง เป็นต้น
ขณะที่หมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 0.68% จากการลดลงของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ทั้งแก๊สโซฮอล์ ค่ากระแสไฟฟ้า กลุ่มสิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาด กลุ่มค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล และกลุ่มเสื้อผ้า
อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าสำคัญหลายรายการที่ราคาสูงขึ้น อาทิ น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน ค่าเช่าบ้าน ค่ารถรับส่งนักเรียน ค่าแต่งผมบุรุษและสตรี และเครื่องถวายพระ เป็นต้น
สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนก.ย. 2567 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนส.ค. 2567 โดยน่าจะอยู่ระหว่าง 0.5-0.7% โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศที่กำหนดเพดานไม่เกิน 33 บาท/ลิตร ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงต้นทุนค่าขนส่งทางเรือปรับตัวเพิ่มขึ้น
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อชะลอตัวลง ได้แก่ ค่ากระแสไฟฟ้าภาคครัวเรือนอยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อนหน้า ตามมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ ฐานราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกในปีก่อนหน้าที่อยู่ระดับสูง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบดูไบในปัจจุบันมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้าๆ หรืออาจจะลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะขยายตัวระดับต่ำ และการลดราคาสินค้าและการแข่งขันในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการค้าส่งค้าปลีกในประเทศ และการค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ ทำให้สินค้าจำนวนมากปรับลดราคาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนเงินเฟ้อไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.5% มีสาเหตุจากราคาน้ำมันเป็นหลัก เพราะช่วงเดียวกันของปีก่อน รัฐบาลตรึงดีเซลที่ 30 บาท/ลิตร ขณะนี้ 33 บาท/ลิตร ที่จะส่งผลชัดเจน ขณะที่การแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต กลุ่มเปราะบางเป็นเงินสด ไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและเงินเฟ้อ แต่จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อมากกว่า
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 อยู่ระหว่าง 0.0-1.0% ค่ากลาง 0.5% ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จะมีการทบทวนอีกครั้ง