นายธิบดี วัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลังได้สนับสนุนการให้กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ซึ่งปัจจุบัน (ณ วันที่ 10 ก.ย. 2567) มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) อยู่ที่ 3.49 แสนล้านบาท ระดมทุนโดยการเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. ให้แก่นักลงทุนทั่วไปจำนวนประมาณ 1.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นนักลงทุนรายย่อยประมาณ 3-5 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนสถาบันประมาณ 1-1.5 แสนล้านบาท และต่อมาได้มีการให้ข้อมูลแก่นักลงทุน (โรดโชว์) เมื่อวันที่ 9-10 ก.ย. 2567 นั้น ผลคือได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจกับการเสนอขายอย่างคึกคัก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในกองทุนฯ ซึ่งแม้จะไม่ได้มีการรับประกันเงินลงทุนและผลตอบแทน แต่ก็มีกลไกในการคุ้มครองเงินลงทุนและผลตอบแทน และความน่าสนใจของอัตราผลตอบแทนที่กำหนดไว้
ทั้งนี้ เงินที่ระดมทุนได้จะเน้นไปลงทุนในหลักทรัพย์ทั้งแบบเชิงรุก (Active Investment) และเชิงรับ (Passive Investment) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยจะเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีอัตราผลตอบแทนดี มั่นคงในระยะยาว มีความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งจะสร้างแรงกระตุ้นการลงทุน และสร้างความเชื่อมั่นของตลาดทุนให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งการระดมทุนในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการลงทุนใน ตลท. ผ่านหน่วยลงทุนประเภท ก. ของกองทุนฯ ที่มีกลไกในการคุ้มครองผลตอบแทน
สำหรับการดำเนินการเสนอขายหน่วยลงทุนในครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงการกำหนดกลไกคุ้มครองเงินลงทุนและผลตอบแทนได้ดำเนินการอย่างถูกต้องและครบถ้วนตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. ซึ่งได้แก่ กระทรวงการคลังและนักลงทุนภาครัฐ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งบริษัทจัดการได้ยื่นแก้ไขโครงการจัดการกองทุนฯ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว นอกจากนี้ การกำหนดกลไกการคุ้มครองเงินลงทุนและผลตอบแทน (WaterFall) ยังคงสอดคล้องกับโครงการจัดการกองทุนฯ เดิม
นายธิบดี กล่าวอีกว่า สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในหน่วยลงทุนประเภท ก. จะได้รับผลตอบแทนขั้นต่ำที่ 3% ต่อปี ถึงแม้ว่าจะต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังที่ได้เสนอขายไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 แต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตามผลการดำเนินการจริงของกองทุนฯ แต่สูงสุดไม่เกิน 9% ต่อปี ในขณะที่ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. ได้แก่ กระทรวงการคลังและนักลงทุนภาครัฐมีโอกาสได้รับผลตอบแทนตามผลการดำเนินงานจริงของกองทุนฯ รวมถึงได้รับผลตอบแทนของกองทุนฯ ส่วนที่เกิน 9% ต่อปี ทั้งหมดโดยไม่มีเพดานขั้นสูง จึงคาดว่าผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. จะยังคงได้รับผลตอบแทนที่ดีและมีความคุ้มค่าในการลงทุน ซึ่งการจัดสรรผลตอบแทนดังกล่าวถูกออกแบบให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนแต่ละกลุ่มได้รับ
ทั้งนี้ นักลงทุนรายย่อยในประเทศสามารถจองซื้อหน่วยลงทุนได้ระหว่างวันที่ 16-20 ก.ย. 2567 ผ่านบริษัทจัดการและผู้สนับสนุนการขายหน่วยลงทุน รวม 8 ราย ได้แก่ 1. บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) 2. บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) 3. ธนาคารกรุงเทพ 4. ธนาคารกรุงไทย 5. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 6. ธนาคารกสิกรไทย 7. ธนาคารไทยพาณิชย์ และ 8. ธนาคารออมสิน และจะได้รับการจัดสรรด้วยวิธี Small Lot First ซึ่งจะทำให้ผู้จองซื้อทุกรายจะมีโอกาสได้รับจัดสรรหน่วยลงทุนเท่ากัน และนักลงทุนสถาบันสามารถจองซื้อหน่วยลงทุนในช่วงวันที่ 25-27 ก.ย. 2567 โดยมีเป้าหมายให้หน่วยลงทุนประเภท ก. สามารถซื้อขายใน ตลท. ได้ในช่วงต้นเดือนต.ค.นี้