นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ เอ็กซิมแบงก์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในครึ่งแรกของปี 2565 (ม.ค.-มิ.ย.) มีสินเชื่ออนุมัติใหม่ 3.45 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.52% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเป็นวงเงินของลูกค้าขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) จำนวน 8.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.42% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยธนาคารมีจำนวนลูกค้าอยู่ที่ 5.47 พันราย เพิ่มขึ้น 22.78% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าเอสเอ็มอี 83.84%

ทั้งนี้ มั่นใจว่าในปี 2565 ภาพรวมสินเชื่อคงค้างจะขยายตัวได้ 1.6 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน หลังจากที่ 7 เดือนแรกปี 2565 สินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 1.56 แสนล้านบาท ในส่วนนี้เป็นสินเชื่อที่สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG Economy จำนวน 4.34 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.53% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ขณะที่ ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2565 ธนาคารมียอดสินเชื่อโครงการระหว่างประเทศ อยู่ที่ 6.67 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.71 พันล้านบาท หรือ 7.59% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยส่วนใหญ่อยู่ในตลาดสำคัญอย่าง CLMV และตลาดใหม่ ส่งผลให้ในช่วงครึ่งแรกปี 2565 มีสินเชื่อคงค้าง CLMV และตลาดใหม่ จำนวน 5.47 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.73 พันล้านบาท หรือ 21.61% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นสินเชื่อคงค้างในเวียดนาม 1.45 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.57% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

นอกจากนี้ ธนาคารได้สร้างภูมิคุ้มกันความเสี่ยงแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยผ่านบริการประกัน ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและลงทุน อยู่ที่ 1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.07% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะเดียวกันธนาคารยังได้ช่วยเหลือในด้านการเงินและไม่ใช่การเงินแก่ผู้ประกอบการ แล้วกว่า 1.72 มื่นราย คิดเป็นวงเงินกว่า 8.56 หมื่นล้านบาท

นายรักษ์ กล่าวอีกวา ผการดำเนินงานภายใต้การบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เอ็กซิมแบงก์มีสถานะทางการเงินที่มั่นคง โดย ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2565 มีอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 2.91% และมีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) อยู่ที่ 1.22 หมื่นล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อ NPL (Coverage Ratio) อยู่ที่ 274.64% สูงสุดในระบบ ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 2/2565 เอ็กซิมแบงก์มีกำไรก่อนสำรองอยู่ที่ 1.21 พันล้านบาท เพิ่มขึ้ 12.55% และกำไรสุทธิเท่ากับ 604 ล้านบาท

“จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น แต่เอ็กซิมแบงก์จะขอแบ่งเบาภาระของลูกค้าและผู้ประกอบการไทย โดยตรึงดอกเบี้ยให้นานที่สุดในอัตรา Prime Rate 5.75% ต่อปี รวมทั้งออกโปรโมชั่นพิเศษสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า Prime Rate เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอีให้อยู่รอด นอกจากนี้ ในช่วงวันที่ 9 เดือน 9 ธนาคารยังมีแผนที่จะจัดจำหน่ายหุ้นกู้ วงเงินรวมกว่า 5 พันล้านบาท”นายรักษ์ กล่าว

สำหรับภาพรวมการส่งออกของไทยในปี 2565 มองว่าจะขยายตัวได้ที่ระดับ 6-7% โดยในช่วงครึ่งปีหลังการส่งออกยังไปต่อได้ แต่อาจจะชะลอความเร็วลง จากช่วง 5 เดือนแรกที่ขยายตัว 12.9% เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่ทำให้สินค้าแพง ต้นทุนธุรกิจและค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น

สำหรับกรณีธนาคารกลางเมียนมาสั่งลูกหนี้ระงับจ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้ต่างประเทศ เพื่อสกัดเงินทุนสำรองที่ลดลงอย่างหนัก ซึ่งบริษัทต่างประเทศในเมียนมาส่วนใหญ่มีเงินกู้ยืมในสกุลต่างประทเศอย่างน้อย 1.2 พันล้านดอลล่าร์ มองว่า ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เนื่องจากภาพรวมการส่งออกจากไทยไปพม่ายังขยายตัวได้ 12% ขณะที่การค้าขายของไทยกับพม่าส่วนใหญ่เป็นรูปเงินจ๊าด-บาท จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่สิ่งที่น่าจับตาคือ แรงงานพม่าที่อาจจะทะลักเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งหากไทยมีการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ มองว่า 80% ของการเพิ่มค่าแรงขึ้นต่ำนั้นจะอยู่ที่แรงงานพม่าเป็นหลัก ไม่ใช่คนไทย

อย่างไรก็ดี เอ็กซิมแบงก์ได้จัดทำ EXIM Index ดัชนีชี้วัดสภาวะส่งออกล่วงหน้า ซึ่ง ณ ไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 100.63 ลดลงจาก 100.90 ในไตรมาสแรก สะท้อนว่าในระยะข้างหน้าการส่งออกของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอลง ผู้บริโภคและนักลงทุนมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยและปัญหาเงินเฟ้อ ปัญหา Global Supply Chain ยังมีอยู่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน