ดอยปู่หมื่น อีกที่เที่ยวแม่อาย ชมการละเล่นชาวลาหู่ พลาดไม่ได้กับการลิ้มรสชาอัสสัม
ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ราว 174 กิโลเมตร ในเขตอำเภอแม่อาย บนดอยปู่หมื่น ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 – 1,700 ฟุต ผู้มาเยือน ตลอดจนนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบธรรมชาติที่มาเยือนดอยแห่งนี้มักจะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่น ด้วยเสียงดนตรีขับขานในทำนองสนุกสนานดังมาจากเครื่องดนตรีของชาวลาหู่ที่เรียกว่า “นอ” หรือแคนที่เรารู้จักโดยทั่วไป
แคนนี้ทำมาจากน้ำเต้าและไม้ไผ่ นำขบวนโดย จะแล จะโบ ผู้เฒ่าชาวลาหู่แห่ง ดอยปู่หมื่น พร้อมน้องๆ ชนเผ่าลาหู่ตัวเล็ก ตัวใหญ่กว่า 20 คน และชาวบ้านอีกกว่า 50 คน รวมกลุ่มมาเต้น “จะคึ” การแสดงประเพณีพื้นบ้าน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์ของชุมชนแห่งนี้
ดอยปู่หมื่น มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจในการเปลี่ยนพื้นที่ปลูกฝิ่นดั้งเดิมให้กลายเป็นไร่ชา และยังเป็นดอยต้นน้ำที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบัน ดอยปู่หมื่น มีชุมชนอยู่อาศัยราว 100 ครัวเรือน ชาวบ้านในชุมชนปลูกชาในกลุ่มของพันธุ์ชาอัสสัม พันธุ์ชาที่ได้รับพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2513 นับเป็นชาต้นแรกที่ปลูกและขยายพันธุ์แก่ชาวบ้านในพื้นที่
ชาอัสสัมสามารถแบ่งแยกได้หลากหลายสายพันธุ์ เช่น สายพันธุ์อัสสัมใบจางสายพันธุ์อัสสัมใบเข้ม สายพันธุ์ลูไฉ่ ฯลฯ ชาวบ้านที่เพาะปลูกส่วนใหญ่จะเพาะปลูกชาเพื่อเลี้ยงชีพ แต่การจัดจำหน่ายยังต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้จำหน่ายได้ในราคาถูกและไม่เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง
จิรวรรณ ไชยกอ หรือ คุณหยก ผู้นำชุมชนลาหู่คนรุ่นใหม่ และผู้บริหารห้างหุ้นส่วนจำกัด อาปาที ออร์แกนิค และ โรงแรมภูมณี ลาหู่ โฮม โฮเทล ต่อยอดการท่องเที่ยว ดอยปู่หมื่น ในรูปแบบ Tea Tourism และนำชาดอยปู่หมื่นมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้ แบรนด์ อาปาที
โดยใช้วัตถุดิบหลักจากชุมชนดอยปู่หมื่น และมีการส่งเสริมอาชีพให้ชาวลาหู่บ้านเด่นหลวง ซึ่งเป็นชุมชนพี่น้องกับชุมชนดอยปู่หมื่น ในการปลูกชาในพื้นที่ราบและปลูกสมุนไพรในระบบอินทรีย์ เช่น กุหลาบ ตะไคร้ เก็กฮวย อัญชัน เป็นต้น เพื่อเพิ่มเป็นผลิตภัณฑ์ชาเบลนด์กับสมุนไพร
เหนือขึ้นมาจากชุมชนและไร่ชา เป็นที่ตั้งของห้องเรียนชาที่ผู้มาเยือนจะได้เรียนรู้ศาสตร์แห่งการชงและชิมชาชนิดต่างๆ ตามหลัก Tea Flavor Wheel พร้อมชิมของว่างที่มาเสิร์ฟพร้อมชา คือ “ข้าวปุก” ขนมพื้นถิ่นที่ทำจากข้าวเหนียวนึ่งตำในครกไม้จนเหนียว แล้วคลุกผงงาคั่ว ปั้นเป็นก้อนปิ้งเตาถ่านให้ผิวกรอบเล็กน้อยส่งกลิ่นหอม
คุณจิรวรรณ เล่าว่า ก่อนหน้านี้การปลูกชายังไม่มีการพัฒนาต้นกล้าชามากนัก กระทั่งบริษัท FWD ประกันชีวิต ได้เข้ามาช่วยเหลือ มอบต้นกล้าชาอัสสัมให้มาปลูก “โครงการธนาคารต้นกล้า” ถือเป็นโครงการแรกในการพัฒนาชุมชนบ้านลาหู่ ที่เกิดขึ้นจากความต้องการของคนในหมู่บ้านที่อยากจะมีต้นกล้าชาอัสสัมมากขึ้น
ประมาณ 80% ชาวบ้านยังเก็บชาและผลิตในครัวเรือนส่งขายอยู่ การผลิตให้ได้คุณภาพยังไม่ค่อยมาก จึงมีการต่อยอดเรื่องของโครงการเพิ่มคุณภาพชา ซึ่ง FWD ประกันชีวิต ทำงานร่วมกับศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร เชียงใหม่ พัฒนายกระดับคุณภาพชาให้ดีขึ้น
ขณะเดียวกัน FWD ประกันชีวิต สอนการเพิ่มมูลค่าชา ทำให้จากเดิมขายชาอัสสัมได้กิโลละ 100-120 บาท ก็มีโอกาสเพิ่มราคามาเป็นกิโลละ 2,000 – 3,000 บาท ช่วยทำให้รายได้ของชาวบ้านดีขึ้น
“ใบชาอัสสัมที่ได้จาก ดอยปู่หมื่น ที่ได้มาตรฐาน FWD ประกันชีวิต เคยต่อยอดเพิ่มมูลค่าจากการนำไปทำเป็นเมนูอาหาร โดยเชฟชุมพล แจ้งไพร โดยผสานวัฒนธรรมอาหารของดอยปู่หมื่น เช่น ยำปลา เกี๊ยวซ่าใบชา ข้าวกระบอกไม้ไผ่ที่มีเนื้อหมูอยู่ข้างใน
รวมถึง ค็อกเทล 2 สูตร ที่ใช้ชาขาวผสมพีช และชาขาวผสมแบรี่ และนำมาทำเป็นช็อกโกแลตผสมชา 4 ประเภท ได้แก่ ชาขาว ชาเขียว ชาป่า ชาแดง กับตัวชูรสที่เป็นกลิ่นดอกไม้และผลไม้ต่างๆ กลายเป็นซอฟท์พาวเวอร์ให้คนเมืองได้คุ้นเคยกับชื่อดอย คุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์” คุณหยกกล่าว
ด้าน สมนึก วัชรนิธิกุล นายธนาคารโครงการธนาคารต้นกล้า เล่าว่า ตอนนี้มีสมาชิกในโครงการแล้ว 33 ครัวเรือน ธนาคารต้นกล้าจะมอบต้นกล้าชาพันธุ์อัสสัมให้ครัวเรือนละ 100 ต้น เมล็ดพันธุ์ 1 กิโลกรัม ให้ชุมชนที่เป็นสมาชิกนำไปปลูกในที่ดินของตนเอง
เราไม่ใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลงแต่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ โดยมีอาจารย์จากศูนย์วิจัยและการพัฒนาการเกษตรเชียงใหม่ มาให้ความรู้และเป็นที่ปรึกษา ใบชาที่สมาชิกเก็บเกี่ยวได้จะถูกนำไปคั่ว นวดและอบชาทั้งในวิถีดั้งเดิมของชุมชน หรือนำไปอบในโรงอบใบชาของโครงการฯ เพื่อจัดจำหน่ายต่อไป
เดวิด โครูนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ FWD ประกันชีวิต กล่าวว่า “ผมมีความสุขมากที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ หลังจากที่เราทำงานร่วมกันกับชาวลาหู่มานานกว่า 3 ปี และภูมิใจที่ได้เห็นความก้าวหน้าในงานที่เราทำร่วมกับชุมชน
การทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคมเป็นแพชชั่น และความตั้งใจจริงของ FWD ประกันชีวิต และของตัวผม เพราะตัวผมอยู่เมืองไทยมานานกว่า 16 ปีแล้ว คิดเป็นกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ของชีวิตผม ซึ่งนั่นคือความผูกพันที่ผมมีกับประเทศไทย
ผลลัพธ์ที่เราตั้งไว้จากการทำงานในโครงการนี้คือ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมด้วยการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในชุมชนให้เติบโต และส่งผลบวกต่อไปในส่วนอื่นๆทั้งด้านสังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นการพัฒนาชุมชนอย่างครบวงจรที่จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” เดวิดกล่าว
FWD ประกันชีวิตมีความตั้งใจจะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากโครงการพัฒนาชุมชนลาหู่เป็นโมเดลต้นแบบในการพัฒนาชุมชนอื่นๆ โดยมุ่งหวังให้ชุมชนยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน