เมืองพัทยา เปิดเที่ยวท่องโลกใต้ทะเลด้วย Sea walker ให้นักท่องเที่ยวชมสัตว์ทะเล ชมธรรมชาติกันอย่างใกล้ชิด โดยได้รับการดูแลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ในการเที่ยวแบบอนุรักษ์แบบไม่ทำร้ายทรัพยากรทางทะเล

ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี
ล่าสุด ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมด้วย นายอุกกฤต สตภูมินทร์ รองอธิบดีกรมทะเลทางทะเลและชายฝั่ง และผู้เชี่ยวชาญจากกรม นำคณะสื่อมวลชนร่วมดำน้ำติดตามผลการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่จ.ชลบุรี
ชลบุรี เป็นจังหวัดชายทะเลที่มีแหล่งทรัพยากรใต้ท้องทะเลอุดมสมบูรณ์ ยกตัวอย่างเช่น หมู่เกาะล้าน ซึ่งเป็นแขวงหนึ่งในเมืองพัทยา ที่มีพื้นที่ขนาด 4.7 ตารางกิโลเมตร กลางอ่าวไทย มีชายหาดที่สวยงามอยู่หลายแห่ง
โดยบริเวณเกาะล้านจะมีเกาะเล็กๆ ที่อยู่รอบๆ เช่น เกาะครก และเกาะสาก อันเป็นสถานที่ดำน้ำดูปะการังทั้งแบบน้ำลึกและน้ำตื้น และยังเป็นสถานที่ฝึกหัดเรียนดำน้ำ ซึ่งในแต่ละวันจะมีกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประมาณ 10,000-20,000 คน/วัน สร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 5,000,000 บาท/วัน

อุกกฤต สตภูมินทร์
สำหรับการลงพื้นที่ครั้งนี้ ได้พาคณะสื่อมวลชนไปยังเกาะสาก เพื่อร่วมดำน้ำติดตามผลการจัดการพื้นที่ Sea walker เนื่องจากพัทยาเป็นหนึ่งในโมเดลในการฟื้นฟูปะการัง
ดร.ปิ่นสักก์บอกว่า กรมทะเล ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลและรับผิดชอบในการปกป้อง คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จึงเข้าไปบริหารจัดการพื้นที่และควบคุมกิจกรรมทางน้ำต่างๆ ตามแนวทางการขับเคลื่อนให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาระบบนิเวศไปด้วยกันได้
Sea Walker เคยมีบทเรียนในอดีต เพราะเป็นการท่องเที่ยวที่เคยทำให้ปะการังมีผลกระทบ นักท่องเที่ยวทั้งเดิน และจับปะการัง จนมีการสั่งห้าม Sea Walker อีก แต่ในครั้งนี้กรมทะเลได้ร่วมกับเมืองพัทยาบริหารจัดการเรื่อง Sea Walker ให้มีความปลอดภัยต่อทรัพยากรทางทะเล ไม่กระทบต่อปะการัง
“โดยเมืองพัทยา ได้มีประกาศเมืองพัทยา เรื่อง การกำหนดเขตอนุญาตให้ประกอบกิจการเดินท่องเที่ยว หรือ Sea Walker 38 แปลง นอกแนวปะการังธรรมชาติ เป็นพื้นที่เกาะล้าน 29 แปลง แบ่งเป็นบริเวณหาดทองหลาง หาดตายาย 19 แปลง บริเวณสนามปืน 10 แปลง และพื้นที่เกาะสาก 9 แปลง ซึ่งกรมทะเลได้เน้นย้ำให้ผู้ประกอบการถึงความปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยว และปลอดภัยต่อปะการังและทรัพยากรทางทะเล” ดร.ปิ่นสักก์กล่าว
ด้าน นายอุกกฤต อธิบายเพิ่มเติมว่า Sea walker เป็นการท่องเที่ยวใต้ท้องทะเลที่จะนำอุปกรณ์หัวครอบลักษณะใสมาให้นักท่องเที่ยวสวมระหว่างที่ลงไปใต้ท้องทะเล พร้อมมีระบบหายใจใต้น้ำที่มีสายออกซิเจน ต่อมาจากบนเรือ อยู่ที่ความลึกระดับ 7-10 เมตร
การใช้บริการจะใช้เวลา 15-20 นาทีต่อรอบ โดยเจ้าหน้าที่จะประคองให้นักท่องเที่ยวลงสู่พื้นทะเลก่อน หลังจากนั้นจะปล่อยให้นักท่องเที่ยวได้ชมฝูงปลา รวมทั้งประติมากรรมใต้น้ำ ปะการังเทียม เป็นต้น
สำหรับอุปกรณ์ Sea walker เป็นระบบหัวสวม มีน้ำหนักประมาณ 10 ก.ก. เพื่อกดไม่ให้หัวลอย แต่เมื่ออยู่ในน้ำจะไม่หนัก ส่วนด้านหลังจะมีหัวจุกที่เครื่องปั๊มอากาศด้านบนเรือที่ต่อสายจากเรือ เมื่อนักท่องเที่ยวลงไปใต้ทะเลแล้ว จะสวมหัวเพื่อดันอากาศเข้าไปที่ตัว Sea walker โดยคนที่ดำน้ำจะมีอากาศทำให้ลอยตัวในน้ำได้ และบนเรือจะมีเครื่องอัดปั๊มอากาศสำหรับดำน้ำอัดเก็บไว้ในถัง เมื่อความดันได้ก็จะส่งต่อลงไปยังหัวสวม
อย่างไรก็ตาม กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้กำหนดแนวทางในการจัดการพื้นที่ Sea walker เช่น ต้องไม่ใช่พื้นที่แนวปะการังธรรมชาติ ไม่ให้อาหารปลา มีมาตรการลดฝุ่นตะกอนจาก Sea walker โดยต้องมีวัสดุปูพื้นขณะเดินใต้ทะเลและกั้นราวรั้วไม่ให้ออกนอกแนวเขตจุดไม่เกิน 30X30 ตร.ม. พื้นที่ประกอบกิจกรรม Sea walker ต้องมีการกำหนดแนวทุ่นที่ชัดเจน
“ขอเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายมองเห็นทรัพยากรทางทะเลสำคัญกว่าเรื่องรายได้จากการท่องเที่ยว หากพบเจอผู้กระทำผิดกฎหมายทำลายทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ให้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง อีกทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ มาตรฐาน และตรวจสอบข้อมูลก่อนออกใบอนุญาตให้กับกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและไกด์นำเที่ยวอีกด้วย” นายอุกกฤตกล่าว
จากนั้นดร.ปิ่นสักก์ และคณะได้เดินทางไปยังหาดเกเร เกาะล้านเพื่อร่วมติดตามผลการปลูกปะการังเพื่อเพิ่มพื้นที่แนวปะการัง และปลูกปะการังนอกพื้นที่แนวปะการังแล้วประสบผลสำเร็จ
ดร.ปิ่นสักก์กล่าวถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่า แนวปะการังบริเวณหาดเกเรอยู่ในสภาพที่เสียหายมาก มีเศษซากปะการังแตกหัก คาดว่าในอดีตเป็นพื้นที่ที่มีปะการังเขากวางอยู่มาก ซึ่งพิจารณาเห็นแล้วว่าพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพในการฟื้นตัวได้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จึงเร่งดำเนินการฟื้นฟูแนวปะการังโดยการย้ายปลูก นำเศษชิ้นส่วนปะการังขนาดเล็กในพื้นที่มายึดติดให้มั่นคงด้วยการยึดกับอิฐบล็อก
จากผลการติดตามเบื้องต้นพบว่า ปะการังที่ย้ายปลูกมีอัตรารอดสูงและเติบโตได้ดี แนวปะการังที่เคยเสื่อมโทรม ปัจจุบันสถานภาพสมบูรณ์ดีมาก มีการปกคลุมของปะการังมีชีวิตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งวิธีการปลูกจากกิ่งพันธุ์ปะการังที่แตกหักที่ได้รับความเสียหาย เป็นการพัฒนาให้เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน เกิดเป็นระบบนิเวศปะการังที่สวยงาม ตลอดจนสามารถส่งเสริมให้เป็นแหล่งดำน้ำลึก สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว
เป็นการเพิ่มมูลค่าทางด้านเศรษฐกิจให้กับชุมชนควบคู่ไปกับการอนุรักษ์อย่างยั่งยืนอีกด้วย
นนทวรรณ มนตรี