วันที่ 23 พ.ย. ที่ร้าน โกรวธ์ คาเฟ แอนด์ โค สยามสแควร์ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อประชาชน (iLaw) เครือข่ายพลเมืองเน็ต (Thai netizen Network) และสมาคมผู้สื่อข่าวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAPA) จัดงานเสวนา “เกาะขอบสนาม สนช.วิเคราะห์ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ” โดยมี น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล นักแปล นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล เครือข่ายพลเมืองเน็ต น.ส.ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ นายคณาธิป ทองรวีวงศ์ คณะนิติศาสตร์ ม.เซ็นต์จอห์น และนายจอมพล พิทักษ์สันตโยธิน คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ม.มหิดล ร่วมเสวนา

โดยนายคณาธิป กล่าวว่า เข้าใจว่ากฎหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ต้องการส่งเสริม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แต่เนื้อหามาตรา 5-9 ที่ควรมุ่งเน้นไปที่การปราบปรามอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ กลับไม่เป็นดังนั้นเลย แต่พยายามมุ่งเน้นการควบคุมเนื้อหา ด้วยการเซ็นเซอร์ มาตรา 14 ก็เปิดองค์ประกอบไว้กว้างขวาง พยายามป้องกันการหลอกลวงของการค้าออนไลน์ที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทว่าก็เปิดช่องให้ถูกนำไปใช้กับกับกฎหมายหมิ่นประมาทที่อยู่ในกฎหมายอาญาได้เหมือนเดิม สอดคล้องกับมาตรา 15 สั่งให้ผู้ให้บริการเป็นผู้รับผิดชอบ โดยระละเอียดให้เป็นไปตามที่ประกาศไว้ในกฎกระทรวง เกิดการตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมจึงให้เนื้อหารายละเอียดไปอยู่ในประกาศกระทรวงที่มีศักดิ์เป็นรองจากกฎหมาย ยกตัวอย่างเช่น เว็บมาสเตอร์ถูกสั่งให้นำเอาข้อมูลที่มีกฎหมายออกจากหน้าเว็บ เว็บมาสเตอร์ก็ต้องดำเนินการเพราะต้องระวังตัวเอง ส่งผลให้อาจเกิดการเซ็นเซอร์ตนเองตั้งแต่ก่อนเผยแพร่เนื้อหาเพื่อระวังตัวเอง

edited4

“ส่วนผู้แจ้งความผิดก็เปิดช่องให้ใครก็ได้สามารถแจ้งได้ ไม่จำกัดเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ ทำได้ทันทีโดยศาลไม่ต้องสั่ง ส่วนมาตรา 20 ไปไกลกว่านั้น เจ้าหน้าที่รัฐสามารถร้องศาลให้สั่งปิดเว็บได้ทันที นอกจากนี้ มาตรา 18-19 เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล ก็เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ทันที ทั้งยังพยายามขยายฐานให้ครอบคลุมความผิดอาญาตามกฎหมายอื่นด้วย จากนี้เจ้าหน้าที่ก็สามารถตรวจคอมพิวเตอร์ของผู้ถูกกล่าวหาตามความผิดอะไรก็ได้ ที่มีคอมพิวเตอร์มาเกี่ยวข้อง” นายคณาธิปกล่าว

จากนั้นเวทีเสวนาเปิดรับชมการถ่ายทอด งานสัมมนารับฟังความคิดเห็นร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากรัฐสภา พร้อมทั้งวิเคราะห์เนื้อหาจากคำชี้แจงของสมาชิกสนช.ต่อคำถามของหน่วยงานเอ็นจีโอ อาทิ แอมเนสตี้ ฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย ต่อร่างดังกล่าว โดยเฉพาะมาตรา 14 (1) มีการชี้แจงว่า จะไม่ถูกนำไปใช้ร่วมกับกฎหมายหมิ่นประมาทของกฎหมายอาญาอีกต่อไป และมาตรา 16 ว่าด้วย การนำเข้าข้อมูลที่เป็นเท็จและการตัดต่อภาพบุคคลที่ตายไปแล้วว่า หากศาลมีคำสั่งว่า มีการกระทำเข้าข่ายตามมาตราดังกล่าว ข้อมูลเหล่านั้นต้องถูกทำลาย

นายจอมพล กล่าวว่า มาตรา 14 (1) ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็ยังสามารถฟ้องร่วมกับคดีหมิ่นประมาทได้อยู่ดี เพราะหากไม่ต้องการให้ฟ้องหมิ่นได้ ก็ต้องเอาออกจาก พ.ร.บ.คอมฯ ที่บอกว่าจะไม่ทำคือการแถ ขนาดหลักการและเหตุผลกับเนื้อหากฎหมายยังมีการเขียนขัดแย้งกันเรื่องการบังคับใช้ร่วมกับกฎหมายอื่นที่มีกำหนดไว้ในมาตรา 20 (3) ส่วนคำห้อยท้ายว่าต้องไม่ละเมิดศีลธรรมอันดี ก็ตีความยาก เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว สำหรับการคุ้มครองผู้ตายในกฎหมายอาญา 327 ระบุชัดว่า คุ้มครองการดูหมิ่นผู้ตายที่กระทบต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ จะทำหน้าที่เซ็นเซอร์เหมือนที่ให้ กบว. ตรวจสอบเนื้อหารายทีวีเหมือนที่ผ่านมา มันคือการนำเครื่องมือสมัยโบราณมาใช้กับยุคดิจิทัล

edited

ด้านน.ส.สฤณี กล่าวว่า มาตรา 16 ร้ายแรง เพราะไม่ใช่ลบ แต่ต้องทำลาย หากไม่ทำก็มีโทษ คำถามคือ จะลงโทษรุนแรงกับการตัดต่อล้อเลียนที่กระจายอยู่ทั่วไปเพื่ออะไร อะไรคือสิ่งชี้วัดศีลธรรม สุจริตหรือไม่สุจริต ถ้ารู้ว่า อะไรคือปัญหาจากการใช้อำนาจรัฐก็ต้องปิดช่องไว้ สิ่งที่เวที สนช.ไม่กล่าวถึงคือมาตรา 20 ที่หมายถึง single control ไม่ต่างจาก single gateway ที่เรากลัวกัน สิ่งที่ยังต้องติดตามต่อไปอีกคือ กฎหมายที่อ้างว่าต้องการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ที่จะมีตามมาอีกเช่น ร่างกฎหมายความมั่นคงไซเบอร์

“กฎหมายลักษณะนี้ไม่ตอบโจทย์นโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล ซ้ำยังสร้างความหวาดกลัว นิยามความผิด ถูกกำหนดให้เป็นเครื่องมือเซ็นเซอร์โดยศูนย์กลางอำนาจ ไม่ต้องผ่านศาล รัฐพยายามส่งสัญญาณให้เชื่อใจ แต่กลไกไม่ได้สร้างความเชื่อใจ ล่าสุดฟรีดอมเฮ้าส์ก็จัดอันดับการมีเสรีภาพของไทยต่ำลงอย่างต่อเนื่อง เพราะเกิดการละเมิดสิทธิ กลั่นแกล้งคุกคาม”

ขณะที่นายอาทิตย์ กล่าวว่า เรากำลังจะสามารถสั่งให้ลบประวัติศาสตร์กันได้ใช่หรือไม่ กรณีนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯเคยระบุว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 19 มีคนตายเพียงคนเดียว แน่นอนมันไม่จริง แต่มีความหมาย หากศาลบอกผิดตามมาตรา 14 แล้วต้องทำลาย แสดงว่า คนรุ่นใหม่อีก 10 ปีข้างหน้า จะไม่มีทางรู้เลยใช่ไหมว่า นายสมัคร เคยพูดแบบนั้น นอกจากนี้ การให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการสอบสวนสืบสวนตามมาตรา 18 สำหรับการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ต้องมีหมายศาล ยิ่งการปิดกั้นเว็บไซต์มาตรา 19 มีความจำเป็นต้องขอหมายศาลอย่างเคร่งครัด แต่ก็ไม่ต้องทำ และมาตรา 26 การอุทธรณ์คำสั่ง ก็ถูกตัดทิ้งไป จากที่เคยมีในร่างแรก ระยะเวลาที่ผ่านมา สนช.ยิ่งร่างยิ่งถอยหลัง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน