การเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึง ยังอยู่ในช่วงที่ 250 ส.ว. ยังมีอำนาจในการโหวตแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ประเด็นนี้แหละที่ทำให้ชื่อของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเป็นแม่เหล็กดึงดูดส.ส.ให้แห่ตามไปร่วมกับพรรคใหม่ แหล่งชุมนุมของแกนนำกปปส.
ด้วยความเชื่อที่ว่า โอกาสเป็นนายกฯ ของพล.อ.ประยุทธ์ยังมีอยู่สูง
แต่คงลืมมองให้ลึกลงไปว่า เมื่อ 3 ป. แยกทางกันแล้ว หมายถึง 250 ส.ว. ย่อมแตกเป็น 2 ขั้วด้วยเช่นกัน!
เอาเข้าจริงๆ ชื่อชั้นในทางการเมืองของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังเหนือกว่าพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยซ้ำ
คนที่ประคับประคองรัฐบาลประยุทธ์ในยุคระบบรัฐสภา ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา เดินเกมการเมืองทั้งในสภาผู้แทนฯ และในวุฒิสภา ก็คือบิ๊กป้อมนี่แหละ
เสียง 250 ส.ว. อยู่ในมือบิ๊กป้อมมากมาย จึงไม่ใช่จุดขายของพล.อ.ประยุทธ์ดังเดิมอีกแล้ว!!
ดังนั้นจึงมีความพยายามสร้างกระแสทำนองว่า พล.อ.ประยุทธ์ย้ายจากพลังประชารัฐไปพรรคใหม่
เป็นแค่การแยกกันเดิน แล้วรวมกันตีในภายหลังจึงเป็นแค่ภาพลวงตา
แต่เอาเข้าจริงๆ ต้องแยกกันทำไม ถ้าไม่ใช่การแตกกัน อีกทั้งแยกกันไป อาจส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายอ่อนพลังลงไป ด้วยซ้ำ!?
ที่สำคัญ หลายกลุ่มในพลังประชารัฐที่เป็นสายตรงของพล.อ.ประยุทธ์ แห่ตามออกไปด้วย
ขณะที่กลุ่มตรงข้ามกับพล.อ.ประยุทธ์ เช่นกลุ่มธรรมนัสก็เตรียมกลับคืนพลังประชารัฐกันยกใหญ่ เป็นภาพที่อธิบาย ชัดเจนว่า แยกกันแบบทางใครทางมันแน่นอน!
ดังนั้นพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่จะได้พล.อ.ประยุทธ์มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ อาจจะได้คะแนนนิยมคึกคักในพื้นที่ภาคใต้
ภาคที่ยังมีมวลชน กปปส.หนาแน่น และนิยมในประยุทธ์
แต่จะหมดจุดขาย มีพรรค 250 ส.ว. รอโหวตให้เป็นรัฐบาล เพราะฐานเสียงในวุฒิสภายังอยู่กับพล.อ.ประวิตร เป็นจำนวนมาก!
พล.อ.ประยุทธ์ในสังกัดพรรคใหม่ จะอาศัยเสียง 250 ส.ว. มาเป็นจุดดึงดูด เพื่อให้เหล่าส.ส.แห่เข้ามาร่วมเพื่อหวังเป็นรัฐบาลแน่ๆ คงจะไม่ได้อีกแล้ว
250 ส.ว. ยังมีอำนาจในการชี้ขาดรัฐบาล หลังการเลือกตั้งครั้งต่อไปอีกสมัยก็จริง
แต่ไม่ใช่เสียงชี้ขาดให้พล.อ.ประยุทธ์ เหมือนการเลือกตั้งในปี 2562 อีกต่อไป
ยิ่งถ้าพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ชนะแบบแลนด์สไลด์
พลังส.ว.ก็ยิ่งลดความหมายลงไป
อีกทั้งเมื่อพลังประชารัฐ ไม่มีพล.อ.ประยุทธ์ จะยิ่งลดความแตกต่างกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตยลงไปได้ การร่วมมือกันก็ง่ายดายขึ้น
การตัดสินใจย้ายพรรคของพล.อ.ประยุทธ์จึงทำให้พลัง 250 ส.ว. ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว!!
วงค์ ตาวัน