กรณีหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ต ของ นายจาตุรนต์ ฉายแสง กำลังจะกลายเป็นบทเรียนทางการเมืองอันแหลมคมยิ่ง
เป็นบทเรียนในเชิงเปรียบเทียบ
เพราะคำวินิจฉัยของศาลปกครองต่อกรณี นายจาตุรนต์ ฉายแสง ปรากฏขึ้นในห้วงเวลาใกล้เคียงกันกับการดำเนินการถอดถอน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ออกจากตำแหน่ง
ความผิดเพราะไปมอบหนังสือเดินทางให้ “ทักษิณ”
คำถามก็คือ หากการมอบหนังสือเดินทางให้กับ “ทักษิณ” ส่งผลให้ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
แล้วการริบหนังสือเดินทางของ นายจาตุรนต์ ฉายแสง จะลงเอยอย่างไร
บางคนอาจจะออกมาโต้แย้งในกรณีการริบหนังสือเดินทาง นายจาตุรนต์ ฉายแสง โดยคำสั่งของกระทรวงการต่างประเทศว่าดำเนินไปอย่างถูกต้อง
เนื่องจากพฤติการณ์ของ นายจาตุรนต์ ฉายแสง
เพราะนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา นายจาตุรนต์ ฉายแสง แสดงพฤติการณ์ฝ่าฝืนและขัดคำสั่งคสช.มาอย่างต่อเนื่อง
ตกเป็นคดีทั้งในศาลยุติธรรมและศาลทหาร
กระนั้น ประเด็นหนึ่งก็คือ คำวินิจฉัยของศาลปกครองระบุให้กระทรวงการต่างประเทศต้องคืนหนังสือเดินทางที่ริบไปให้กับ นายจาตุรนต์ ฉายแสง
เท่ากับยืนยันว่าเป็น “มาตรการ” อันไม่ชอบด้วย “กฎหมาย” ปกครอง
ถามว่าหาก นายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เห็นว่าคำสั่งของกระทรวงการต่างประเทศทำให้เสียหาย และกระทบกระเทือนต่อการเดินทางไปต่างประเทศ
แล้วรื้อฟื้นเรื่องนี้ไปยังคดีอาญา คดีแพ่ง
โดยมีคำวินิจฉัยจากศาลปกครองเป็นฐานรองรับ นั่นหมายความว่ากระทรวงการต่างประเทศก็ต้องตอบคำถาม และความสงสัยอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ความผิดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นอย่างไร
จะดำเนินไปเหมือนกับที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ต้องประสบ กระทั่งที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติดำเนินการถอดถอนหรือไม่
น่าคิด น่าพิจารณา
จากนี้จึงเห็นได้อย่างเด่นชัดว่า กรณี “หนังสือเดินทาง” สะท้อนถึงความขัดแย้งอย่างลึกซึ้งทางการเมือง
เป็นการเมืองอันกระทบต่ออดีตรองนายกรัฐมนตรีอย่าง นายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นการเมืองอันกระทบต่ออดีตรองนายกรัฐมนตรีอย่าง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
คำถามก็คือ แล้วความถูกต้อง ความเป็นธรรมคืออะไร