ชักศึกเข้าบ้าน
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ชักศึกเข้าบ้าน : ตะลึงงันไปตามๆ กัน
กรณีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว. การต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ในลักษณะ รู้ล่วงหน้ามาก่อน 1 วันแล้ว กรณีประธานาธิบดีสหรัฐสั่งใช้กำลังจาก โดรนสังหารนายพลกาเซม สุไลมานี ผบ.กองกำลังรบพิเศษคุดส์
นายดอนพูดอย่างโอ่อ่าว่า “ที่จริงก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ทางสหรัฐประสานมายังไทยเมื่อวันที่ 2 ม.ค. โดยระบุเหตุผลว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งการแจ้งก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น”
แม้ต่อมาโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจะรับหน้าเสื่อออกมาปฏิเสธ แต่ก็ไม่สามารถลบภาพ เสียง และสีหน้าท่าทางของนายดอนตอนที่ให้สัมภาษณ์ ได้เลย
น่าสนใจว่าทำไมอดีตนักการทูตที่มีชื่อเสียง แถมนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีต่างประเทศมายาวนาน ถึงทำผิดมารยาททางการทูตได้เพียงนี้
ไม่เพียงแต่สะท้อนวุฒิภาวะเท่านั้น แต่จะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามมาด้วย
ถ้าเป็นในต่างประเทศป่านนี้ คงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งไปแล้ว ถ้ายังอยู่ก็ต้องถูกกดดันให้ออก เพราะถือว่าทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหาย
หัวหน้ารัฐบาลก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน นายซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี นักการศาสนาผู้นำมุสลิมชีอะห์ในประเทศไทย ระบุว่า “พูดตรงๆ ผมถือว่าไม่ฉลาดเลยที่ไปพูดแบบนั้น มันเท่ากับว่าไทยกับสหรัฐอเมริกาให้ความร่วมมือกันในเรื่องนี้ด้วย”
นายซัยยิดสุไลมานกล่าวต่อว่า คำพูดแบบนี้มองลึกๆ มันคือการชักศึกเข้าบ้าน ก็ไม่เข้าใจว่าทำไม “ท่านถึงไม่ฉลาดขนาดนั้น” เขาตั้งข้อสังเกตว่า การที่สหรัฐส่งซิกมาให้ไทยก่อน จะกลายเป็นว่า “ไทยมีส่วนเห็นด้วย และให้ความร่วมมือ หรือแม้แต่แค่รู้เห็น ก็ถือว่าหนักมากแล้ว เพราะไทยกับอิหร่านนั้นมีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ ดีมาก”
ส่วนในทางการเมือง ตั้งแต่นายดอนออกมาพูดแบบนี้ คงจะอยู่ไม่เป็นสุขแน่
ไหนๆ ก็เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่ตกเป็นเป้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจอยู่แล้ว
อยู่ดีไม่ว่าดี เปิดแผลใหม่ให้ฝ่ายค้านได้กะซวกสนุกแน่