คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
โดย…มันฯ มือเสือ
อุณหภูมิเดือด โค้งท้ายเลือกซ่อม
อุณหภูมิยกระดับดุเดือดตามสถานการณ์เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 1 ชุมพร กับเขต 6 สงขลา
ผู้สมัครคนใดจะถูกหวยได้เป็น ผู้แทนใหม่ถอดด้าม ค่ำวันอาทิตย์ 16 ม.ค.นี้ ได้เห็นกัน
อย่างที่รู้ว่าทั้ง 2 สนามเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ตัวเก็งมาจาก 2 พรรครัฐบาลคือ พลังประชารัฐผู้ท้าชิง กับประชาธิปัตย์แชมป์เก่าเจ้าถิ่น
โดยมีผู้สมัครพรรคก้าวไกลกับพรรคกล้าเป็นตัวสอดแทรก
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาหัวหน้าแต่ ละพรรคนำทีมยกขบวนลงพื้นที่ หาเสียงช่วยผู้สมัครของตัวเองกันคึกคักทั้งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ข่าวจากผู้เกาะติดขอบสนามเขต 6 สงขลา แจ้งผลประเมินสถานการณ์ช่วงโค้งท้าย
พลังประชารัฐมาแรงแซงแชมป์เก่า มีเปอร์เซ็นต์สูงคว้าชัย
ด้วยปัจจัยเกื้อหนุนเดียวกับที่เคยใช้เป็นหมัดน็อก คว่ำผู้สมัครพรรคเจ้าถิ่นล้มตึงคาสังเวียนมาแล้วในการเลือกตั้งซ่อม เขต 3 นครศรีธรรมราช เดือนมี.ค.ปีก่อน ครั้งนี้จึงมีแนวโน้มเป็นเดจาวู
ส่วนเขต 1 ชุมพร โฉ่งฉ่างมากกว่า
นอกจากเหตุการณ์ดักยิงรถแห่หาเสียงของพรรคกล้า
ก่อนหน้านั้นตกเป็นข่าวครึกโครมกรณี “เสธ.ต.” พร้อมชุดกำลังกว่า 100 นาย เข้ามาจุ้นจ้านแทรกแซงการหาเสียงในพื้นที่
ประเด็นนี้ประชาธิปัตย์แถลงเปิดโปง นำไปสู่การที่พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.สั่งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นการด่วน เพราะถือว่ากระทบภาพลักษณ์ความเป็น กลางของกองทัพบก
แต่กลับไม่ด่วนจริง เพราะตอนแรกก็มีข่าวเตรียมสรุปผลสอบเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เพราะรู้ข้อมูลคร่าวๆ แล้วว่า “เสธ.ต.” คือใคร เชื่อมโยงกับ “อดีต บิ๊กทหาร” ระดับแม่ทัพภาค ที่ผันตัวมาเป็นนักการเมืองคนไหนอย่างไร
แต่พอถึงเวลาก็เงียบหาย ผลสอบไม่มาตามนัด ปล่อยให้นักข่าวรอเก้อ
สิ่งที่ตามมาก็คือ ยิ่งตรวจสอบ เนิ่นนานล่าช้าออกไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้คนจำนวนไม่น้อยปักใจเชื่อมากขึ้นเท่านั้น
เลือกตั้งครั้งนี้ หนีไม่พ้นอำนาจรัฐเข้ามามีส่วนกำหนดผลแพ้ชนะอีก เช่นเคย