“รุก กลางกระดาน”
ยังเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงสำหรับปัญหาหมอกควันในภาคเหนือ ที่แต่ละปีดูจะหนักหนามากขึ้นเรื่อยๆ
ในปีนี้ก็เช่นกัน มีหลายพื้นที่ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก เกินค่ามาตรฐาน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงปัญหาสุขภาพของประชาชน
โดยนพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ หรือหมอหม่อง แพทย์นักอนุรักษ์ชี้ผลกระทบของปัญหาหมอกควันว่า เป็นภัยร้ายแรงต่อสุขภาพ
ไม่ใช่แค่ในระยะสั้นแต่เป็นในระยะยาวที่เกิดจากการหายใจสูดเอาอากาศที่มีฝุ่นควันขนาดเล็กเข้าสู่ร่างกาย
โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่สามารถซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง มีพิษทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือด อีกทั้งยังอาจเป็นสาเหตุของการป่วยมะเร็งปอด, โรคหลอดเลือดหัวใจ
รวมทั้งอาจทำให้เสียชีวิตได้ในทันที!??
เป็นเรื่องที่อันตรายอยู่ไม่น้อย
แน่นอนว่าปัญหาหมอกควัน เป็นปัญหาระดับชาติที่ต้องอาศัยความร่วมมือทุก ภาคส่วน
ใหญ่เกินกว่าที่จะคาดหวังให้ข้าราชการระดับจังหวัดแก้ไขปัญหานี้ได้
จึงไม่ยุติธรรมหากจะโทษว่าหน่วยงานไหนเป็นการเฉพาะ
แต่จะปล่อยทิ้งไว้เช่นนี้ไม่ได้แน่นอน หากไม่สามารถแก้ปัญหาได้ อย่างน้อยก็ต้องมีการแจ้งเตือนที่เป็นระบบ แนะนำการป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน
หากปล่อยปละละเลย กลัวจะเสียหน้าตา ชื่อเสียง หรือกลัวว่าจะกระทบการท่องเที่ยว ย่อมเป็นการให้ความสำคัญที่ผิดจุด
จึงน่ายกย่องที่มีกลุ่มภาคประชาสังคมในจ.เชียงใหม่ ออกมารณรงค์ให้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาหมอกควัน
โดยใช้ภาพวาดเชิงสัญลักษณ์เพื่อรณรงค์
แต่ที่ไหนได้ แทนที่ผู้ว่าฯเชียงใหม่ จะเห็นชอบ ร่วมมือกับประชาชนแก้ไขปัญหา ประชาสัมพันธ์ให้รู้เท่าทัน
กลับส่งคนไปแจ้งความดำเนินคดี ใน ข้อหาผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
การกระทำเช่นนี้เป็นการ?บำบัดทุกข์ บำรุงสุข?กันอย่างไร ไปอ่านตำรานักปกครองฉบับไหน ถึงเห็นประชาชนเป็น คู่ขัดแย้ง
รับรู้แล้วก็ได้แต่เศร้าใจ หากไม่ทบทวนพิจารณาใหม่
ก็ได้แต่สงสารประชาชน ที่ต้องมาพบเจอกับปัญหาต้องปิดหมดไม่แค่จมูกแต่รวมหูตาด้วย!!?