ม็อบพลังแฝง – ม็อบราษฎรไปสถานทูตเยอรมัน ท้าทายทะลุเพดานอีกครั้ง อย่างที่ อ.เกษียร เตชะพีระ เปรียบเสมือน “ข้ามแม่น้ำรูบิคอน” ไม่มีวันหวนกลับ

คืนวันพฤหัสฯ ม็อบจัดแฟชั่นโชว์ แปลงหน้าวัดแขกเป็นแคตวอล์ก เปลี่ยนบรรยากาศเป็นสนุกสนาน เปลี่ยนสีลมเป็นถนนคนเดิน แดนซ์กระจาย แสดงศิลปะหลากหลาย แต่ไม่วายแสบสันต์ เช่น ภาพแฟชั่นที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามแทบคลั่ง

นี่คือการพลิกรูปแบบอย่างน่าทึ่ง เปลี่ยนโทนเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ไม่ลดระดับเนื้อหาท้าทาย ยังยืนหยัด พุ่งเป้า ไม่ถอย ไม่กลัว เย้ยกฎหมายอำมหิต ไม่แยแสจอมปลอมสมานฉันท์ กระบวนการรัฐสภาฝักถั่ว หัวร่อล้อเลี่ยน “แก๊งมินเนี่ยน” ที่ออกมาเผชิญหน้า แต่ติดธงชาติไทยผิด กลายเป็นธงคอสตาริกา

ทั้งๆ ที่บรรยากาศในรอบสัปดาห์ดูน่ากลัว มีการปลุกพลังอนุรักษนิยมออกมาต้าน ทั้งที่มาด้วยใจ แบบไทยภักดี ทั้งที่ใช้หน่วยงานรัฐจัดการตามพื้นที่ต่างๆ มีการให้ท้ายอย่างโจ่งแจ้ง รัฐพันลึกโผล่เหนือน้ำ จนนักประชาธิปไตยรุ่นเก่าพากันหวาดกลัว จะซ้ำรอย 6 ตุลา

บางคนก็มโนภาพว่า ม็อบเด็กจะถูกม็อบเหลืองปิดล้อม แล้วเจ้าหน้าที่บุกเข้าสลาย ได้แต่กอดกันร้องไห้ ร้องเพลงปลุกใจ เลือดนองท้องช้าง

ปัดโธ่ นั่นมันฝันร้ายของคนที่ผ่าน 6 ตุลาหรือปี 53 สถานการณ์แตกต่างกัน 44 ปีก่อน ไม่มีพลังทางสังคมคอยยับยั้ง 10 ปีก่อน รัฐประสบความสำเร็จในการปลุกความเกลียดชัง “แดงไพร่” จนคนชั้นกลางในเมืองออกใบอนุญาตฆ่า แต่วันนี้ เป็นยุคสมัยที่อำนาจอนุรักษนิยมเสื่อม ปลุกไม่ขึ้น รัฐบาล ก็ย่ำแย่ แล้วต้องมารบรากับลูกหลานคนชั้นกลางในเมือง

ม็อบคนรุ่นใหม่ “รุ่น 16 ตุลา” มีทั้งพลังแบบ 14 ตุลา ต่อต้านเผด็จการ อำนาจไม่ชอบธรรม สืบทอดหน้าด้านๆ ผสมพันธุ์นักการเมืองกเฬวราก แล้วก็ผ่านการศึกษาประวัติศาสตร์ 6 ตุลา ท้าชนโครงสร้างอำนาจอนุรักษนิยม อย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในการเมืองไทย ด้วยความมั่นใจในพลังของพวกเขา ที่หนุนเนื่องทั้งเจเนอเรชั่น

ความร้อนแรงติดเพดาน ทะลุเพดาน ของคนรุ่นใหม่ ทำให้พวกอนุรักษนิยมรุ่นเก่าหงายท้อง หงายหลัง กระทั่งนักประชาธิปไตยรุ่นเก่าก็อ้าปากค้าง พร้อมทั้งหวาดกลัวแทน

แต่พวกเขาก็ยืนหยัด เติบโต เข้มแข็ง เหลือเชื่อ ในช่วงเวลาเพียง 3 เดือนเศษ อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็ได้เห็น ม็อบปักหลัก ปักธง ท้าชน ไม่กลัวไม่เกรง ไม่ถอยข้อเสนอ ถูกสลายยิ่งแผ่ขยาย ร่วมแรงร่วมใจท้าทายอำนาจฉุกเฉินอย่างกล้าหาญ แต่ขณะเดียวกันก็มีสติ มีวินัย มีความพลิกแพลงสร้างสรรค์ และมีอารมณ์ขัน

“ม็อบโค่นล้ม” ทั้งหลายมักมีอารมณ์โกรธแค้น ดุดัน แต่ม็อบนี้แซวกันเรื่องวรรณสิงห์ทำร้ายจิตใจ น้องเมนูเชียงใหม่ ประกาศว่าไปม็อบจนกระทั่งได้แฟนแล้ว แต่ประเทศไทยยังไม่ได้ประชาธิปไตย

ที่เรียกว่าม็อบมุ้งมิ้งก็ใช่ แต่ถอยซะที่ไหน แกนนำอย่างอานนท์ รุ้ง เพนกวิน ไมค์ ถูกจับไป ก็ได้เห็นแกนนำอย่างมายด์ ที่ชนะใจคนดูด้วยการแสดงออกอย่างมีวุฒิภาวะ เมื่อปะทะกับนักโต้คารมอย่างปารีณา

หรือถ้าใครดูสารคดีออสเตรเลียที่ติดตามรุ้งก่อนถูกจับ จะน้ำตาซึม เธอเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่ง ที่มีความกลัว แบบมนุษย์ธรรมดา แต่นั่นยิ่งขับเน้นความกล้าหาญ ความเสียสละ

การแสดงออกที่ทรงพลังของม็อบ จึงได้รับการปกป้องจากสังคมส่วนใหญ่ ประกอบกับความเสื่อมของระบอบ อย่างที่เกษียรให้สัมภาษณ์ใน 101world สังคมไทยวันนี้ เกิดสภาพที่เรียกว่า “ศีลธรรมสาธารณะล้มละลาย” มีแต่คนที่พูดถึงความดี-คนดี แต่ไม่มีความดีอยู่จริง พูดถึงความยุติธรรมหรือกฎหมายไม่หยุด แต่ไม่มีความยุติธรรมที่เป็นจริง เกิดสภาพที่สังคมไทยไม่เป็นปึกแผ่นเอกภาพ ไม่มีใครเชื่อว่าใครจะเสียสละจริง เห็นแต่ผู้นำที่เอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว

คนรุ่นใหม่ที่ไปจนสุด จึงกลายเป็นความหวังของสังคมไทยที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง อยากให้พ้นไปจากวงจรเก่า แล้วเมื่อพวกเขายืนหยัด ท้าทาย สุดติ่ง หนุนเนื่อง ไม่ถอย แม้ทำอะไรกับอำนาจที่ใหญ่โตมโหฬารไม่ได้ ฝ่ายอำนาจก็จัดการไม่ง่ายเช่นกัน

คุณถูกต่อต้านจากคนทั้งเจเนอเรชั่น ร่วม 20 รุ่นที่เป็นอนาคตของประเทศ ตั้งแต่นักเรียนมัธยมถึงวัยทำงาน ถ้าใช้วิธีเข่นฆ่าจับกุมคุมขัง จะครองใจคนได้อย่างไร

ในสภาพที่ประจันหน้า พลังหลากหลายก็ออกมาเป็นกันชน ไม่เว้นแม้คนในฝ่ายอนุรักษนิยมอย่าง อานันท์ ปันยารชุน, หมอประเวศ วะสี, กษิต ภิรมย์ หรือนักวิชาการ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล, สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักธุรกิจ บรรยง พงษ์พานิช ที่เสนอทางออกต่างๆ แต่ภาพรวมคือให้ฝ่ายผู้มีอำนาจยอมบ้าง

กระทั่งสนธิ ลิ้ม อ่านดีๆ คือยุให้รัฐประหารประยุทธ์ แล้วให้ทหารถอย แม้ฝ่ายประชาธิปไตยไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลแห่งชาติ

พลังแฝงของม็อบยังล้นเหลือ ทั้งจากความกล้าหาญของคนรุ่นใหม่ ความเสื่อมและถดถอยลงอย่างรวดเร็ว ของฝ่ายอนุรักษนิยม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน