รบชนะก็รบ ไม่ชนะก็หนี(93) – เริ่มจาก เชาวน์ พงษ์พิชิต การลุกขึ้นสู้ยามเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงที่แดนต่อแดนหูหนานและเจียงซีปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 9 กันยายน 1927 กรรมกรรถไฟประเดิมด้วยการทำลายทางรถไฟสายฉางซา-เย่ว์หยัง

และสายฉางซา-จูโจว ตัดการขนส่งคมนาคมของข้าศึกให้ขาดสะบั้นลง

พร้อมกันนั้น กรมที่ 1 และกรมที่ 4 ก็รุกจากซิวสุ่ยไปยังผิงเซียงและไปถึงตำบล จินผิง กรมที่ 4 แปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับข้าศึก ส่วนกรมที่ 1 ถูกจู่โจมเข้าตีอย่างกะทันหัน จึงปราชัย

สุดท้ายกรมที่ 3 นำโดยเหมาออกเดินทางจากตำบลถงกู่มุ่งไปทางอำเภอหลิวหยัง

ปะทะกับข้าศึกอย่างดุเดือด และแล้วเหมาเห็นควรให้ยกเลิกแผนปฏิบัติการเข้าตีนครฉางซาเสีย เมื่อทราบข่าวการปราชัยอย่างต่อเนื่องของกรมที่ 1 และกรมที่ 2

บุญศักดิ์ แสงระวี จึงสรุปออกมาอย่างตรงกับความเป็นจริงว่า

ในวันเวลาที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเริ่มจับอาวุธลุกขึ้นสู้ความพ่ายแพ้ก็ร้อยอยู่เป็นพวงเหมือนลูกประคำ ลูกแล้วลูกเล่าต่อเนื่องกันไปเหมือนจะไม่จบสิ้น

การลุกขึ้นสู้ในการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงก็พ่ายแพ้เช่นกัน

ความคิดที่จะใช้ทหาร 1 กองพลไปโจมตีเมืองใหญ่เป็นเรื่องที่ฝืนความเป็นไปได้อย่างอัตวิสัย ซ้ำร้ายทหารกรรมกร ชาวนาที่เพิ่งจะตั้งขึ้นก็ไม่มีความจัดเจนใน การรบ กองทหารที่ไปดึงเอามาช่วยก็แปรพักตร์

เมื่อเข้าสนามรบหันปลายกระบอกปืนกลับมายิงกรมที่ 1 ที่หลูเต้อหมิงบัญชาการ

ข่าวความปราชัยส่งมาถึงกองบัญชาการใหญ่อยู่เรื่อยๆ แต่เหมาก็ยังสงบเยือกเย็น รู้ดีว่าฉางซาอย่างไรเสียก็ “กัดไม่เข้า” แม้อำเภอหลี่หลิง หลิวหยางก็ “กินไม่ได้”เช่นกัน

เมื่อสำรวจสถานการณ์จึงตัดสินใจถอยไปที่เหวินเจียสื้อในอำเภอหลิวหยาง

คืนวันที่ 19 กันยายน คณะกรรมการส่วนหน้าประชุมกันอย่างเคร่งเครียดในโรงเรียนหลี่เหยินอันเป็นจุดรวมพลของกองทหารในเหวินเจียสื้อหารือกันว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

เหมาเสนอให้เปลี่ยนแผนการโจมตีจากมติเดิมเป็นเคลื่อนย้ายไปสู่ชนบท

แต่ก็เป็นธรรมดาที่แม้ข้อเสนอนี้ของเหมาจะอ้างว่าการเข้าไปสู่ชนบทเพราะเป็นพื้นที่ที่ชนชั้นปกครองไม่สามารถเอื้อมมือไปปราบปรามได้แต่ก็ถูกคัดค้านอย่างรุนแรง

โดยเฉพาะจากทหารที่ยึดอยู่กับความคิดในเรื่องการยึดครองพื้นที่

หยีไซ่ตู้ ผู้บัญชาการกองพลคัดค้านพร้อมกับเสียงตะโกนด้วยความไม่พอใจว่า “การโจมตีฉางซาเป็นมติของคณะกรรมการมณฑล พวกเรามารวมพลกันอยู่ที่นี่ที้งหมดแล้ว

จะต้องกลับไปตีหลิวหยาง เข้าฉางซาให้ได้”

หยีปี้หมิน รองผู้บัญชาการกองพลก็ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเหมา เขาเห็นว่าเหมา เป็นนักศึกษาขี้ขลาดและใจเสาะ มองเหมาไม่อยู่ในสายตา แต่เนื่องจากฐานะในพรรค ของเหมาสูงกว่า

จึงไม่กล้าคัดค้านซึ่งหน้า

ได้แต่พยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาแสดงเหตุผลถึงความจำเป็นต้องตีฉางซา โดยระบุอย่างเด่นชัดว่า

“ความพ่ายแพ้ที่จินผิง ล้วนแต่ต้องโทษที่ซิวกว้อซินซึ่งทรยศ”

กระนั้น เหมาก็พยายามโต้แย้งและอธิบาย

“ทำไมซิวกว้อซินจึงทรยศ ไม่ใช่เพราะคนเราน้อย ปืนก็น้อยดอกหรือ ทำไมในกองทัพศัตรูจึงไม่มีการแปรพักตร์หรือหันมาเข้ากับเรา ก็เพราะเรายังไม่เข้มแข็ง การปฏิวัติกำลังอยู่ในกระแสต่ำ

พวกปฏิกิริยามีกำลังเหนือกว่าเรา มีแต่หลีกเลี่ยงศัตรูที่เข้มแข็งกว่า ไปพัฒนาในที่ที่ศัตรูอ่อนแอ”

ความร้อนแรงบังเกิดขึ้นเมื่อเหมาเห็นว่า “สร้างกำลังของเราให้ใหญ่โตเข้มแข็ง นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่า “รบชนะก็รบ รบไม่ชนะก็หนี” ประโยคสุดท้ายทำให้นายทหารที่ร่วมประชุมตกตะลึงไปครู่ใหญ่

อะไรกัน รบไม่ชนะก็หนี ทหารที่ไหนจะขี้ขลาดถึงขนาดนี้

“หนีเรอะ” หยีไซ่ตู้เดือด เขายกมือโบปฏิเสธอย่างเฉียบขาดและรุนแรง “ผมคิดว่า คุณคงอยากจะขึ้นไปอยู่บนภูเขาเป็นโจรป่าห้าร้อย ใช้หรือเปล่า”

ได้ยินเช่นนั้นเหมากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง

“ทุกยุคทุกสมัยที่แล้วมาล้วนมีโจรป่าอยู่ทั้งนั้น อาศัยภูเขาเป็นชัยภูมิ ทหารของทางการไม่เคยทำลายพวกเขาได้หมดสิ้น ถ้าจะกล่าวว่าเราจะไปเป็นโจรป่าก็เป็นโจรป่าที่ไม่เคยมีมาก่อน

เป็นโจรป่าที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน