วันพุธที่ 21 ธ.ค.2565 น้อมรำลึกครบรอบ 58 ปี มรณกาล “หลวงพ่อเขียน ธัมมรักขิโต” พระเกจิดังแห่งวัดสำนักขุนเณร อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร เชี่ยวชาญวิทยาคมเป็นที่เลื่องลือไปทั่วสารทิศ

แม้แต่หลวงพ่อทบ ธัมมปัญโญ เทพเจ้าแห่งเทือกเขารัง วัดช้างเผือก อ.เมืองเพชรบูรณ์ ยังให้ความเคารพนับถือ

มีนามเดิมว่า เสถียร จันทร์สา เกิดเมื่อปี พ.ศ.2399 ที่บ้านตลิ่งชัน ต.ชอนไพร อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์

อายุ 12 ปี เกิดศรัทธา จึงขออนุญาตจากบิดามารดา บรรพชา เมื่อปี พ.ศ.2411 ที่วัดทุ่งเรไร ในขณะเป็นสามเณร ศึกษาอักขรสมัยกับสมภาร พออ่านออกเขียนได้ และได้เรียนภาษาขอม ควบคู่กับภาษาไทย เนื่องด้วยท่านมีความขยันหมั่นเพียรในการเขียนอ่าน สมภารจึงได้เปลี่ยนชื่อจาก “เสถียร” มาเป็น “เขียน” นับแต่บัดนั้น

อยู่ในสมณเพศจนอายุใกล้จะอุปสมบท จึงสึกออกมาเป็นฆราวาสอยู่ระยะหนึ่ง จนอายุ 20 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท ที่วัดภูเขาดิน ใกล้กับแม่น้ำป่าสัก จ.เพชรบูรณ์ มีพระอาจารย์ประดิษฐ์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์สอน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์ทองมี เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ต่อมาเริ่มศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดเสาธงทอง จ.ลพบุรี โดยมีพระอาจารย์ทองเป็นผู้สอนท่านอยู่ที่วัดแห่งนี้นาน 9 ปี ต่อมาเข้ามาศึกษาต่อที่วัดรังษี กรุงเทพฯ มีพระธรรมกิตติเป็นเจ้าอาวาสใน สมัยนั้น ก่อนกลับมาที่วัดเสาธงทองอีกครั้ง กลับมาจำพรรษาที่ วัดเสาธงทองได้ 9 พรรษา กำนันตำบลวังตะกูและชาวบ้านได้นิมนต์ให้มาจำพรรษาที่วัดวังตะกู

อยู่ที่วัดวังตะกู จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.2491 กำนันเถาว์ ทิพย์ประเสริฐ์ บ้านสำนักขุนเณร ตอนนั้นท่านยังเป็นกำนันตำบลวังงิ้ว พร้อมด้วยญาติโยมนิมนต์ท่านให้ไป จำพรรษาที่วัดสำนักขุนเณร ซึ่งอยู่ห่างกันกับวัดวังตะกูเพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น เดินทางไปมาระหว่าง 2 วัดนี้มิได้ขาด

พ.ศ.2493 ตัดสินใจ จำพรรษาที่วัดสำนักขุนเณรตั้งแต่นั้นมา

สมัยหนึ่ง เจ้าอาวาสวัดวังตะกู กราบนมัสการขออนุญาตท่านหล่อรูปและสร้างเหรียญหลวงพ่อ โดยจัดพิธีพุทธาภิเษก ให้ประชาชนบูชา เพื่อหารายได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดวังตะกู

ในพิธีพุทธาภิเษกครั้งนั้น ขณะประกอบพิธีปรากฏสายฝนตกลงมาอย่างหนัก กรรมการรีบเข้าไปนิมนต์ท่านขึ้นกุฏิหลบฝน แต่ท่านกลับบอกว่า ถ้าลุกจากที่นี้อีกองค์หนึ่ง พิธีก็เสียหมด ทั้งยังกล่าวต่อไปว่า “ฝนมันตกไม่นาน หรอกน่อ เพียง 5 นาทีเท่านั้น ก็หายเทวดาเขาให้ฤกษ์ดีน่อ”

ครั้นเวลาครบ 5 นาที ฝนก็หยุดตก ขาดเม็ดทันที

สำหรับการเจริญกัมมัฏฐานมักจะปฏิบัติในเวลาดึกสงัด ปราศจากเสียงรบกวน ในยามค่ำคืนจะมีแสงไฟสลัวในกุฏิของหลวงพ่อเสมอ และมักจะดับเอาตอนรุ่งสางแล้ว

ตามปกติในเวลากลางวัต้องออกมานั่งปัดเป่าความทุกข์ให้แก่ชาวบ้านที่พากันหลั่งไหลมานมัสการไม่ขาดสาย ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเป็นประจำ

วัตถุมงคลที่จัดสร้างเอง เป็นที่แสวงหาของบรรดาเซียนพระมาก โดยเฉพาะเซียนจังหวัดพิจิตร ใครมีไว้ในครอบครอง มักจะหวงแหน

ปัจจุบันแทบทุกชนิดล้วนแต่หายาก ในขณะที่มีชีวิตอยู่ถือว่าเป็น ผู้มีวาจาสิทธิ์

มีโรคประจำตัวท่านอยู่โรคหนึ่ง คือ โรคหืด ซึ่งเป็นโรคที่ทรมานท่านเป็นอย่างมาก เมื่อเวลาโรคกำเริบ

ครั้นเมื่อท่านชราภาพมากขึ้นทุกขณะ ฉันภัตตาหารไม่ค่อยจะได้ ทำให้เรี่ยวแรงหมดไปทุกที คณะกรรมการวัดและศิษยานุศิษย์ จึงได้นำไปรักษาที่สถานพยาบาลในตลาดบางมูลนาก แต่เนื่องจากความชราและโรคกำเริบ สุดความสามารถของแพทย์จะยื้อไว้ได้

มรณภาพด้วยอาการสงบ คืนวันที่ 21 ธ.ค.2507 เวลา 23.50 น. สิริอายุ 108 ปี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน