ณ เบื้องหน้าตำแหน่ง “ประธานสภา” สะท้อนให้เห็นสัจธรรมแห่ง “อำนาจ” การเมือง

สังคมสัมผัสได้ในความนิ่งของ “พรรคก้าวไกล” ภายหลัง นายรังสิมันต์ โรม ออกมายืนยันว่าตำแหน่ง “ประธานสภา” เป็นโควตาของพรรค

จากนั้น ทุกอย่างก็สงบในลักษณะรอคอยการสรุปจาก 8 พรรคร่วม

ขณะเดียวกัน สังคมสัมผัสได้ในความ “ไม่นิ่ง” อันสะท้อนมาจาก “ภายใน” ของพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นระดับ “บน” ไม่ว่าจะเป็นระดับ “ล่าง”

สะท้อนว่าพรรคเพื่อไทยก็ต้องการเป็น “ประธานสภา”

มีความจำเป็นต้องสนใจ “เหตุผล” ไม่ว่าจะมาจากพรรคก้าวไกล หรือพรรคเพื่อไทย

เหตุผลของพรรคก้าวไกลยืนยันว่าเป็นธรรมนิยมทางการเมืองที่พรรคอันดับ 1 จักต้องได้ตำแหน่ง “ประธานสภา” ตั้งแต่อดีตจนมาถึงวันนี้

พรรคเพื่อไทยเห็นว่าระยะระหว่างอันดับ 1 อันดับ 2 แตกต่างกันไม่มาก

ในเมื่อพรรคก้าวไกลได้ตำแหน่งทางด้านบริหารคือนายกรัฐมนตรีไปแล้วก็ชอบธรรมที่ตำแหน่งทางด้านนิติบัญญัติจะเป็นของพรรคเพื่อไทย

ที่สำคัญพรรคเพื่อไทยมีผู้ซึ่ง “เหมาะสม” มากกว่า

ท่ามกลางความขัดแย้ง “ตัวละคร” ที่ออกโรงมี “ปริมาณ” แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด

ตัวละครของพรรคก้าวไกลมีเพียง นายรังสิมันต์ โรม ในฐานะโฆษกพรรคเท่านั้นที่ยืนบทสรุปนี้ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย

พรรคเพื่อไทยมีความมากหน้าหลายตายิ่งกว่า

ไม่เพียงมี นายภูมิธรรม เวชยชัย หากแต่ยังมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง มี นายอดิศร เพียงเกษ และตามมาด้วย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด

ความนิ่งของพรรคก้าวไกลจึงกลายเป็นจุดเด่น

จากนี้จึงเห็นจุดต่างของลักษณะอันเรียกว่า “พรรคภาพ” ระหว่าง 2 พรรคการเมือง

เป็นพรรคภาพอันสะท้อนวิถีในแบบของพรรคก้าวไกล เป็นพรรคภาพอันสะท้อนวิถีในแบบของพรรคเพื่อไทย

1 เป็นพรรคใหม่ 1 เป็นพรรคเก่า

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน