ท่าทีของพรรคเพื่อไทยต่อกรณี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา มากด้วยความระมัดระวัง
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ออกมาให้ “ความเห็น” ในเชิงประชดประเทียด เสียดสีและตีปลาหน้าไซ คาดหมายแนวโน้มและสถานการณ์
บรรดา “มวยหลัก” ต่างสงบนิ่งอยู่ใน “ที่ตั้ง”
ไม่ว่าจะเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตหัวหน้าพรรคไม่ว่าจะเป็น นายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตเลขาธิการพรรค หลีกเลี่ยงที่จะให้ความเห็น
มีเพียง นายอดิศร เพียงเกษ มีเพียง นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม
จังหวะก้าวของพรรคก้าวไกล สัมพันธ์กับจังหวะก้าวของพรรคเพื่อไทย
หากถามว่าอะไรคือปัจจัยทำให้พรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จแม้ว่าจะได้รับเลือกเข้ามาเป็นพรรคอันดับ 1 มากด้วยความชอบธรรม
Advertisement
คำตอบอาจจะอยู่ที่ 250 สว. คำตอบอาจจะอยู่ที่ “มาตรา 112”
กระนั้น บทบาทของพรรคเพื่อไทยไม่ว่าจะต่อ MOU เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ไม่ว่าจะต่อตำแหน่ง “ประธานสภา” เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ก็เป็นอีกคำตอบ
ยิ่งผลสะเทือนจาก “กรณี 22 สิงหาคม” ยิ่งเด่นชัด
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยที่เคยกระทำต่อพรรค ก้าวไกลจึงเป็นเหตุผลสำคัญ
ต้องยอมรับว่าการออกโรงของ นายอดิศร เพียงเกษ ต่อความเหมาะสมในการได้ตำแหน่ง “ประธานสภา” หรือไม่ จำหลักอย่างหนักแน่น
มีผลต่อ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา โดยตรง
ต้องยอมรับอีกเหมือนกันว่าบทบาทของบรรดา “ว่าที่วิป” พรรคเพื่อไทยและพันธมิตรในรัฐบาลที่ตั้งข้อสังเกตต่อเสื้อคอจีน นายปดิพัทธ์ สันติภาดา มีนัยยะ
เหมือนกับจะเป็น “สังหรณ์” ดำเนินไปอย่างเป็น “ลาง” แจ้งเหตุ
ทุกปฏิบัติการของพรรคเพื่อไทยจึงสอดรับกับบทสรุป “ขว้างงูไม่พ้นคอ”เด่นชัด
ไม่ว่าจะมองในกรณีของ นายอดิศร เพียงเกษ ไม่ว่าจะมองในท่าทีที่กระทำต่อ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา อย่างเป็นระบบ เป็นกระบวนการ
ดำเนินไปในกระสวน “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง” ครบถ้วน