คอลัมน์ ใบตองแห้ง

หนุ่มสาวทิ้งประเทศ – “ย้ายประเทศกันเถอะ” กลุ่มเฟซบุ๊กที่โดนรัฐบาลเขม่น ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น “โยกย้าย มาส่ายสะโพกโยกย้าย” มีสมาชิกทะลุ 9 แสนคนแล้ว กำลังจะเปิดเว็บสอนภาษา ถ่ายทอดลู่ทางทำมาหากิน วิธีได้สิทธิเป็นพลเมืองหรืออยู่อาศัยในต่างประเทศ อย่างจริงจัง

แม้โดนปรามาสว่า มีปัญญาไปได้ไม่กี่คน กระทั่ง ส.ส.สอบตกจะออกค่าเครื่องบินให้ (แต่บอกอีกทีว่ามีเงื่อนไข) ตัวเลขเฉียดล้านก็สร้างความตกอกตกใจ ว่าคนไทยอยากย้ายประเทศมีมากมายเพียงนี้เชียวหรือ แถมส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางวัยหนุ่มสาว ที่จะเป็นอนาคต ถ้าคนเหล่านี้ทิ้งไปหมด ประเทศไทยจะเหลืออะไร

แม้ปรามาสไปได้ไม่กี่คน แต่คนที่ไปก็เป็น cream ซึ่งไม่ได้หมายความแค่คนเก่งภาษา เก่งเทคโนโลยี แต่คนที่มีความฝัน มีความกล้า ไม่ต้องเรียนสูงพ่อแม่รวย ก็ถือเป็นทรัพยากรล้ำค่า

“ย้ายประเทศกันเถอะ” ไม่เพียงสร้างความกังวล “สมองไหล” เสียหายต่อเศรษฐกิจ ความเจริญในด้านต่างๆ หนักกว่านั้นคือมันทุบกะโหลกกะลา ที่ปลูกฝังโดยรัฐอนุรักษนิยม “คนไทยเหนือชาติใดในโลก” แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง อู่ข้าวอู่น้ำ ไม่ต้องรวยก็มีความสุขอย่างพอเพียง เมืองไทยน่าอยู่ที่สุดในโลก ฝรั่งอยากมาพึ่งพิง พม่าลาวเขมรอพยพมาออกลูกออกหลาน ต้องพยายามกีดกัน

ทุบกะโหลกดังเปรี้ยง แตกลงมากองกับพื้น ว่าชาติไทยก็ไม่ต่างจากชาติอื่น วันนี้ยังอาจแย่กว่าเขาหลายด้านด้วยซ้ำ จนมีคนอยากย้ายประเทศเป็นล้าน

แต่พวกภูมิใจในคลองโอ่งอ่างยอมรับความจริงไม่ได้ ชี้หน้าตะโกนลั่น ไอ้พวกชังชาติ ไม่รู้คุณแผ่นดิน ทั้งๆ ที่ไล่คนเห็นต่างออกนอกประเทศ แต่พอเกิดขึ้นจริงก็ตกใจหัวโกร๋น

อันที่จริง คนรุ่นใหม่ย้ายประเทศเงียบๆ มาหลายปีแล้วละ เป็นพันเป็นหมื่นคน แต่ครั้งนี้ที่มีการก่อตั้งกลุ่ม ระเบิดเป็นปรากฏการณ์ล้นหลาม เหมือนฝีแตก หนองทะลัก ขนาดแอดมินกลุ่มตกใจ ไม่คิดว่าคนจะเข้าร่วมมากมายเพียงนี้

ทำไมคนหนุ่มสาวอยากย้ายประเทศ ข้อแรก พื้นฐานคือเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยโตต่ำมาหลายปี ไม่สามารถปรับตัวสู้ disruption เด็กจบใหม่ไม่มีงานทำ หรือได้งานไม่ตรงที่อยากทำ

เทียบง่ายๆ ก็เหมือนคนชนบทหลั่งไหลเข้ากรุง หมู่บ้านเหลือแต่เด็กกับคนแก่ มาพบรักปักหลักสร้างครอบครัวอยู่ชานเมือง สงกรานต์ค่อยกลับไปเยี่ยมบ้าน

การเมืองเกี่ยวไหม แหงอยู่แล้ว เพราะเกิดขึ้นหลังม็อบคนรุ่นใหม่ทะลักทลาย แต่ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง อำนาจไม่แยแส แกนนำถูกจับกุมคุมขัง มันทำให้เห็นว่าประเทศนี้เปลี่ยนไม่ได้ หรือต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเปลี่ยน

ถ้าต้องอยู่ในประเทศนี้อย่างผู้อาศัย ไม่ได้เป็นเจ้าของประเทศ จะอยู่ไปทำไม

แต่การเมืองไม่ใช่เพียงประยุทธ์ มันลึกซึ้งกว่านั้น ทั้งอำนาจและโครงสร้างที่เปลี่ยนไม่ได้ ไปจนค่านิยม วัฒนธรรม ที่ฝังรากลึกในสังคมไทย เช่น การเห็นคนไม่เท่ากัน มีชนชั้น privilege นับหน้าถือตาคนมีฐานะมีอำนาจมีรถหรู สังคมปากหอยปากปูนินทาข้ามรั้ว เหยียดเพศ เหยียด LGBT เที่ยวยุ่งกับชีวิตส่วนตัวคนอื่น ทั้งที่ไม่หนักหัวกบาลใคร

คนไปทำงานเรือสำราญจึงโพสต์ว่า ถึงจะเป็นแค่คนเก็บจาน เขาก็ไม่ดูถูกเรา

ดร.ที่หนีลูกบิดประตูกลับประเทศ บอกว่าฝรั่งก็เหยียดผิว ใช่ แต่ผิดกฎหมาย สังคมประณาม คนไทยเหยียดกัน จ้องจับผิดกัน กลายเป็นคนดีด้วยซ้ำ

ในด้านกลับกัน ต้องบอกว่ากลุ่ม “โยกย้าย” กลับมี solidarity สูงมาก มีความเห็นใจเข้าใจกัน ขณะที่โดนคนอื่นเหยียด แม้แต่ฝ่ายประชาธิปไตยบางคนก็โวยว่า ทิ้งเพื่อน หลบหนี ไม่ต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศนี้

อันที่จริง เท่าที่ส่องดู คนตั้งกลุ่ม คนเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ก็ไม่ใช่แกนนำอะไรนะ น่าจะมีทั้งคนเห็นด้วย สนับสนุน หรือไม่เกี่ยวกับม็อบเลย 9 แสนคนอาจเป็นได้ว่าร่วมครึ่งหนุนม็อบ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

กระนั้น ทั้งม็อบทั้งคนอยากย้ายประเทศก็มีจุดร่วมกัน คือต้องการอนาคตที่ดีกว่า โอกาสที่เปิดกว้าง มีคุณภาพชีวิต รัฐสวัสดิการ บริการสาธารณะ ที่คุ้มค่าเงินภาษี ในกลุ่มจึงมีการเปรียบเทียบภาพฟุตปาธ ค่ารถไฟฟ้า ขนส่งสาธารณะ คุณภาพการศึกษา ชีวิตหลังเกษียณ ฯลฯ

สิระ เจนจาคะ เย้ยว่าสวีเดนแค่ต้องการแรงงานไปเสียภาษี 51% ลองถาม “ป้าเป้า เครื่องด่า” ว่าเอาเงินภาษีมาซื้ออาวุธทำไมนักหนา

คนอยากย้ายประเทศที่เป็นคอการเมือง ไม่ใช่ไม่ต้องการเปลี่ยนประเทศ แต่เขาเข้าใจดีว่า คงใช้เวลาอีกนานกว่าจะเปลี่ยน สมมติอีกครึ่งชีวิต ชีวิตเขามีค่า ก็ต้องดิ้นรนหาโอกาสที่ดีกว่า โดยไม่ต้องทิ้งกันก็ได้ โลกสมัยนี้แคบนิดเดียว

ในภาพรวม กลุ่ม “ย้ายประเทศ” ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนมหาศาล 6 ตุลา 2519 นักศึกษาเข้าป่าราวสามพัน พฤษภา 2564 หลังปราบม็อบสามนิ้ว มีคนอยากย้ายประเทศเกือบล้าน

ถ้าระบอบอำนาจนี้ยังไม่ปรับตัว ทั้งคนอยากย้ายไม่อยากย้ายก็จะยกระดับไปเป็นพลังมหึมา

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน