คอลัมน์ ใบตองแห้ง

วัดใจไล่รัฐบาล – รัฐบาลหมดความเชื่อถือ ลามไปถึงวัคซีนขาดความเชื่อมั่น เพราะล่าช้าแทงม้าตัวเดียว จนต้องสั่งวัคซีนมวยแทน ที่ WHO ยังไม่รับรอง ยกขบวนหมอออกมาปกป้อง อ้างชาติเรียกร้องให้ฉีดวัคซีน ปกปิดบิดเบือนโฆษณาเกินจริง จนประชาชนไม่เชื่อหมอไปด้วย

สุดท้ายก็ใช้อำนาจบังคับ งัดกฎหมายข่มขู่ ใครแพร่ข่าววัคซีนทางลบเป็นเฟกนิวส์ บุรีรัมย์ใครอยู่กลุ่มเสี่ยงไม่ฉีดวัคซีนตำรวจจับ

รัฐบาลโดยเฉพาะประยุทธ์ ถูกด่าหนักที่สุด เมื่อก่อนก็ถูกด่า แต่ครั้งนี้หนักกว่าก่อน สารพัดเพจในโลกออนไลน์ คนกดไลก์กดแชร์เป็นหมื่นๆ ทั้งประชดประชัน เย้ยหยัน มีสาระ ให้แง่คิด โดยเฉพาะเพจหมออิสระ ที่ให้ข้อมูลกว้างขวางหักล้างโฆษณาชวนเชื่อของ สธ.และรัฐบาล

จนป่านนี้ ก็ยังควบคุมโควิดไม่ได้ ระบาดไปทั่วชุมชนแออัด แหล่งที่พักแรงงานต่างด้าว และในคุก ซึ่งปิดข่าวจนกระทั่งรุ้งติดโควิด นี่ถ้าไม่ใช่อานิสงส์ผู้ต้องขังการเมือง ป่านนี้ ญาติพี่น้องคนติดคุกก็ยังไม่รู้ว่ามีคนติดโควิดสามพัน เสี่ยงอีกเป็นหมื่น ทำราวกับเขาไม่ใช่มนุษย์

ขณะที่ทางเศรษฐกิจ ก็ฉิบหายวายป่วง ห้างร้านกลายเป็นพื้นที่รกร้าง ยังขายฝันเปิดการท่องเที่ยว โควิดรอบแรกติดวันละสองร้อย “เราไม่ทิ้งกัน” แจกหมื่นห้า โควิดรอบสอง “เราชนะ” แจกเจ็ดพัน โควิดรอบสาม ติดเชื้อวันละสองพัน เราแพ้แล้ว? แจกแค่สองพัน เอาไปจิ้มฟัน

ในสถานการณ์อย่างนี้ รัฐบาลรู้ตัวดี แต่ไม่ใช่รู้สำนึก รู้ว่าต้องดันทุรัง กลบเกลื่อนความผิดพังล้มเหลว เช่นสั่งซื้อวัคซีนแล้วไง ทั้งที่สั่งซื้อเพราะถูกด่าๆๆๆ อีกด้านก็ใช้อำนาจปิดปาก ใช้กลไกรัฐประชาสัมพันธ์ ใช้พวกหิวแสงอยากเป็นคนดีชักชวน มาร่วมมือกับรัฐบาลกันเถอะ มาฉีดวัคซีน มาช่วยกันบริจาค อย่าให้หมอพยาบาลเหนื่อยยาก ฯลฯ

ทั้งที่ประชาชนต้องฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันตัวเอง ประชาชนเห็นใจหมอพยาบาลต้องเหนื่อยยากจากนโยบายห่วยแตกผิดพลาด อย่ามาโหน อย่ามาอ้าง เอาเจ้าหน้าที่เสียสละมาค้ำเก้าอี้ตัวเอง

รัฐบาลรู้ดีอีกเช่นกันว่า ไม่สามารถทวงคะแนนนิยมคืน คนที่หมดความเชื่อมั่นเชื่อถือไม่มีทางกลับมา แต่รัฐบาลเพียงหาข้ออ้างดันทุรังอยู่ในอำนาจ แล้วบังคับข่มขืนใจต่อไป

ตราบใดที่เครือข่ายอนุรักษนิยม กองทัพ รัฐราชการ ยังหนุนหลัง ยังมี 250 ส.ว.พร้อมโหวตให้ ประยุทธ์ก็เฉยเมยได้ตลอดไป ใช้อำนาจบีบให้ทุกฝ่ายต้องยอมสยบเพื่อความอยู่รอด เหลือแต่เสียงข้างน้อยที่ต่อต้าน แล้วก็ชี้หน้าเป็นพวกก่อความวุ่นวาย ทำให้บ้านเมืองไม่สงบ ไม่ได้ทำมาหากิน

ทั้งที่จริง ถ้าแอบถามกันรายตัว ตั้งแต่พ่อค้าแม่ค้าไปจนนักธุรกิจใหญ่ ข้าราชการ ชาวบ้านทั่วไป ยังมีใครเอาประยุทธ์บ้าง ส่วนใหญ่ส่ายหน้า อยากเปลี่ยน อยากได้คนฉลาดมีความสามารถกว่านี้ เพียงไม่รู้จะหาใคร (อนุทินไง หัวร่อตาย)

แต่ด้วยอำนาจที่ใหญ่โตมหึมา ด้วยกลไกใต้ “ใบสั่ง” คนส่วนใหญ่ไม่กล้าออกหน้า ข้าราชการไม่กล้าเคลื่อนไหว พระมาม็อบถูกไล่จับสึก นักธุรกิจต้องแอบอิงอำนาจไม่กล้าขัดใจ มีแต่คนรุ่นใหม่กับอาชีพอิสระที่ออกมาไล่ คนชนบทก็อยู่ใต้กลไกอุปถัมภ์ แค่เคลื่อนไหวหน่อยเดียว ตำรวจไปถึงบ้าน

นี่ทั้งที่รัฐบาลเสื่อมทุกด้าน รวมถึงเรื่องธรรมนัส กระทั่งคนเคยเชียร์รัฐประหารยังเสื่อมศรัทธา แต่ประยุทธ์ก็เฉยเมย ไม่เห็นเป็นไร

พรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่แยแส ส.ส.ปชป. เรียกร้องให้ถอนตัว หัวหน้าพรรคกลับบอกว่า วิญญูชนต้องไม่ซ้ำเติมประเทศ ต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ส.ส.ที่เรียกร้องจริยธรรมกลับกลายเป็นคนชั่ว

รัฐบาลข่มขี่อยู่บนความแตกแยก มีสลิ่ม IO หยิบมือปกป้องสุดลิ่มทิ่มประตู ไล่จับให้ร้ายม็อบราษฎรไปอยู่อีกขั้ว ทำให้สังคมกลัวว่าม็อบทะลุเพดานจะนำไปสู่ความแตกแยก อยากเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ใหญ่โตเกินไป เกินความเคยชินของสังคมไทย จะวุ่นวายไม่จบ

ทั้งที่คนส่วนใหญ่ก็อยากเปลี่ยนเหมือนกัน อยากได้ผู้นำที่สร้างสมานฉันท์ เป็นที่ยอมรับกันทุกฝ่าย มีสมองมีสปิริตนำประเทศฝ่าวิกฤตได้

อันที่จริง การไล่รัฐบาลสามารถทำได้ตามวิถีทาง ถ้าทุกฝ่ายร่วมกันเรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ปลายปี โดยแก้รัฐธรรมนูญอย่างน้อยหนึ่งมาตรา คือตัดอำนาจ 250 ส.ว.โหวตประยุทธ์

แต่สังคมไทยที่ชินกับอะไรง่ายๆ ซ้ำแตกแยกไปคนละทาง จะผลักดันได้หรือเปล่า

สมมติม็อบออกมาเรียกร้องแก้รัฐธรรมนูญยุบสภา ก็จะปั่นอีกว่าพวกล้มเจ้า เข้าทางทักษิณธนาธร คนจำนวนมากก็จะหดหัวกลับเข้ากระดอง ยอมให้ประยุทธ์ปกครองต่อไป ถูกบีบให้ลืมว่ารัฐบาลสร้างความฉิบหายแค่ไหน มองไปข้างหน้าดีกว่า เศรษฐกิจกำลังจะดี การท่องเที่ยวจะกลับมา

สังคมไทยมีเวลาอีก 2-3 เดือนถ้าโควิดจาง (ไม่จางก็ตายเป็นเบือ) จะต้องร่วมกันหาจุดเปลี่ยนอย่างจริงจัง ไม่ใช่มองว่าเป็นเรื่องของฝ่ายค้านหรือของม็อบราษฎร แต่เป็นเรื่องของทุกฝ่าย ต้องหาทางรอดร่วมกัน

ถ้าเจ็บไม่จำ ถ้ายังยอมจำนน ก็สมควรแล้วที่คนเป็นล้านอยากย้ายประเทศ

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน