พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยตัวแทนภาคประชาชน แถลงความคืบหน้าผลักดันร่างแก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ ที่จะเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวันที่ 16 ก.พ.2567
คือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
โดยร่างพ.ร.ป.ทั้ง 2 ฉบับ สส.พรรคเพื่อไทยเข้าชื่อยื่นต่อประธานสภา ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งสส. ปี 2566 และระหว่างการหาเสียงก็ยืนยันถึงการผลักดันกฎหมายดังกล่าว
ขณะนี้ผ่านขั้นตอนทางธุรการ การรับฟังความคิดเห็น ตรวจสอบความถูกต้อง และบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมแล้ว
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ตัวแทนภาคประชาชน ระบุว่าร่างกฎหมาย 2 ฉบับจะอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชน โดยให้สิทธิผู้เสียหายฟ้องร้องคดีต่อศาลได้โดยตรง ในกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรืออัยการสั่งยกคำร้อง หรือไม่ฟ้อง
จากเดิมถ้าป.ป.ช.ไม่รับคำร้อง หรือยกคำร้องก็จะจบในชั้นป.ป.ช. หรือถ้าป.ป.ช.ชี้มูลความผิดส่งไปที่อัยการ แล้วอัยการสั่งไม่ฟ้อง ป.ป.ช.สามารถฟ้องเองได้ แต่ถ้าทั้ง 2 องค์กรเห็นตรงกันเรื่องก็จบ
กฎหมาย 2 ฉบับ จะเพิ่มสิทธิให้ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายจากการดำเนินคดีของป.ป.ช. หรืออัยการ สามารถนำคดีไปยื่นฟ้องร้องต่อศาลได้โดยตรง
โดยเฉพาะผู้เสียหายในคดีอาญาที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ
ปัจจุบันมีประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเสียหาย ได้รับผลกระทบจากรัฐ ไม่สามารถดำเนินคดีกับนักการเมือง หรือเจ้าหน้าที่รัฐ หากองค์กรอิสระ หรือองค์กรในกระบวนการยุติธรรมสั่งไม่ฟ้อง หรือไม่พิจารณาคดี
เช่น เหตุการณ์รัฐบาลสั่งเจ้าหน้าที่พร้อมอาวุธสงครามสลายการชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ราย บาดเจ็บและพิการอีกกว่า 2,000 ราย
ขณะนี้เหลืออีก 6 ปี คดีจะหมดอายุความ แต่ผู้สั่งการและผู้เกี่ยวข้องกับการปราบปรามประชาชน ยังไม่ถูกไต่สวนพิจารณาความถูกผิดในชั้นศาลอาญาพลเรือน เนื่องจากป.ป.ช.ไต่สวนแล้วสั่งไม่ฟ้อง
ดังนั้น ถ้ามีกฎหมาย 2 ฉบับ ก็จะเปิดทางให้ผู้เสียหายฟ้องร้องนักการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐ นำคดีเข้าสู่การพิจารณาชั้นศาล