ได้อ่านแล้ว !! รัฐบาลไทย เปิดบทสัมภาษณ์ นิตยสารไทม์ ของ ‘ประยุทธ์’

พบกันที่แผง 2 ก.ค.?

นิตยสารไทม์ -วันที่ 29 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระแสนิตยสารไทม์ ฉบับสัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังคงได้รับการกล่าวถึงอยู่เป็นระยะ ถึงเนื้อหาบางส่วนที่อาจจะไม่สามารถเผยแพร่ในประเทศไทยได้ ก่อนจะมีข่าวออกมาว่า นิตยสารไทม์ ฉบับพล.อ.ประยุทธ์ ถูกรัฐบาลไทยสั่งแบน ห้ามวางขายบนชั้นหนังสือ จนเกิดข้อสงสัยถึงบทสัมภาษณ์ดังกล่าวว่าเหตุใด จึงไม่สามารถเผยแพร่ได้

ล่าสุด เว็บไซต์รัฐบาล www.thaigov.go.th ได้ถอดเทปคำให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์ (Time) ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. เวลา 14.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

โดยมีเนื้อหาบางส่วนดังนี้
TIME : นายกรัฐมนตรีเปลี่ยนตนเองจากการเป็นทหารสู่งานการเมืองอย่างไร ?

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอบว่า ในขณะที่ยังเป็นผู้นำทางทหาร ก็พัฒนาตนเองอยู่เสมอ เรียนรู้มิใช่เฉพาะงานด้านทหาร เพราะว่าทหารมีความสำคัญในการช่วยเหลือบ้านเมืองทางด้านการพัฒนา มิใช่เพียงแค่เพื่อการสู้รบ แต่ทหารยังต้องเรียนรู้ที่จะพัฒนา และในรัฐธรรมนูญไทยได้กำหนดว่า ทหารไทยมีบทบาทสำคัญที่สุดคือ การป้องกันประเทศ การรักษาความมั่นคงภายใน และในเรื่องการพัฒนาประเทศ รวมไปถึงให้ความช่วยเหลือส่วนราชการต่างๆ และแก้ไขปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ เนื่องจากพวกเราเป็นทหารของประชาชน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นทหารของประเทศ เป็นทหารของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็ตาม ทหารทุกคนมีบทบาทในเชิงสร้างสรรค์ และในช่วงที่ผ่านมา ผมได้ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบ ทุกอย่างกับทุกรัฐบาล ซึ่งผมเป็นทหารยาวนานกว่า 40 ปี โดยเป็น ผบ.ทบ. 4 ปี เพราะฉะนั้นผมได้มีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ พัฒนาองค์กรของผมด้วย เพื่อพร้อมที่จะสนับสนุนรัฐบาลในทุกอย่าง

Time: นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐธรรมนูญจะช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งในอดีตได้ แต่ผมได้คุยกับกลุ่มสนับสนุนตระกูลชินวัตรว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกออกแบบมาเพื่อปิดกั้นตระกูลชินวัตร นายกรัฐมนตรีมีความกังวลหรือไม่ว่า หลังการเลือกตั้ง จะเกิดความขัดแย้งแบบเดิมขึ้นมาอีกครั้ง?

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอบว่า ในเรื่องดังกล่าวผมก็มีความกังวลอยู่บ้าง เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงยุคใหม่ของการเมืองไทย ของประชาธิปไตยไทย ซึ่งคนไทยได้ทำมาเป็นเวลากว่า 80 ปีแล้ว ไม่เคยเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในเรื่องของการขัดแย้งเรื่องรัฐธรรมนูญ โดยประชาชนยังไม่ให้ความสนใจกับกฎหมายลูกและพรบ.ที่เกี่ยวข้องเลย ซึ่งการกระทำเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้นในประเทศฝั่งตะวันตกและตะวันออกที่มีการพัฒนาสูงแล้ว ซึ่งประเทศไทยยังอยู่ในขั้นตอนดังกล่าวอยู่ หรือเรียกว่า “ระยะเปลี่ยนผ่าน” เพราะฉะนั้น ผมก็ยังคงกังวลอยู่ แต่ต้องมีการผลักดันความเข้าใจ การอธิบาย การเข้าถึง การมีส่วนร่วมให้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงต้องมีอุปสรรค

การไม่เคารพกฎหมาย ก็มีกลุ่มคนแค่บางกลุ่มที่ไม่เคารพกฎหมาย ได้พยายามใช้กฎหมายเป็นตัวกลางในการสร้างความขัดแย้ง ไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา และเป็นช่วงการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตของผม ก่อนที่ผมจะเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งใช้เวลาในการตัดสินใจไม่น้อยกว่า 6 เดือน โดยมิได้เป็นการตัดสินใจมาก่อนล่วงหน้า แต่เป็นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และผมไม่สามารถยอมรับได้หากประเทศเกิดความเสียหายไปมากกว่านี้หรือประชาชนสูญเสียและบาดเจ็บไปมากกว่านี้ ผมจึงตัดสินใจในขณะนั้น และผมก็ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และผมรับฟังปัญหาทุกอย่างที่สะสมในอดีต รับฟังความคิดเห็นของประชาชนจากสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ รวมไปถึงข้าราชการ ผมรับฟังทั้งหมดมาประยุกต์ และประมวลผลว่า จะต้องทำงานไปในทิศทางใด ซึ่งอยากให้เข้าใจถึงเหตุผลและความเป็นมาที่ผมต้องเข้ามารับตำแหน่งนี้…

Time: หากนายกรัฐมนตรีไม่รู้สึกเสียใจต่อการตัดสินใจครั้งนั้น , ท่านคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ?

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอบว่า ทุกวันนี้ก็ยังไม่เสียใจ เพราะไม่มีการบาดเจ็บสูญเสียจากการที่ผมเข้ามาเลย ซึ่งก่อนหน้าผมจะเข้ามา ซึ่งเป็นประชาธิปไตยของรัฐบาลที่ผ่านมา มีการบาดเจ็บสูญเสียมากพอสมควร ตั้งแต่ผมเข้ามายังไม่มีการบาดเจ็บสูญเสียในเรื่องนี้เลย ประชาชนก็ยังสนับสนุน ยังให้ผมทำงานมาถึง 4 ปี นี่คือสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง ถ้าผมทำไม่ดีเลย ผมคงอยู่ไม่ได้ ปีเดียวก็คงอยู่ไม่ได้ แสดงว่าผมก็ต้องทำอะไรที่มันเกิดผลสัมฤทธิ์มาได้บ้าง

4 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ 4 ปี แห่งการใช้อำนาจ เป็น 4 ปีแห่งการแก้ปัญหาเดิมและอุปสรรคเดิม พร้อมกับสร้างความมีเสถียรภาพและเดินไปข้างหน้า มองถึงอนาคต ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดมาตลอด และได้ดำเนินการตามนี้มาโดยตลอด และวันนี้มันก็ถึงเวลาแล้วว่า จะต้องเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งอันเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ผมก็ได้กำหนดวิธีทางไว้ทั้งหมดแล้ว เมื่อรัฐธรรมนูญพร้อม กฎหมายลูกพร้อม ก็สามารถเลือกตั้งได้ ผมไม่เคยหวงหรือยึดอำนาจไว้

Time: ผมอยากทราบถึง แนวทางประชาธิปไตยแบบตะวันตกที่เหมาะสมกับไทย?

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอบว่า ประชาธิปไตยแบบตะวันตกที่เหมาะสมกับไทย คือ การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน สร้างกลไกเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในขั้นตอนต่าง ๆ ที่ถูกต้อง และในเรื่องของการมีสิทธิและเสรีภาพต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และการละเมิดสิทธิต่าง ๆ ถึงแม้จะเป็นสิทธิของประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพต่าง ๆ ต้องไม่ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น เพราะเส้นแบ่งระหว่างสิทธิมนุษยชนและเส้นแบ่งของการทำผิดกฎหมายเป็นเส้นเดียวกัน สิ่งนี้ผมคิดว่าเป็นประเด็นสำคัญ

เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญที่สุดของ หลักการประชาธิปไตย คือ หลักการที่เคารพเสียงส่วนใหญ่ และต้องดูแลเสียงส่วนน้อยด้วย แต่ที่ผ่านมา ประชาธิปไตยของประเทศไทยสมัยก่อน เป็นแบบเคารพเสียงส่วนใหญ่เท่านั้น มิได้ดูแลเสียงส่วนน้อย ดังนั้นผมจึงเข้ามาแก้ไขปัญหานี้ เพื่อให้เกิดการรับฟังความคิดเห็น 2 ทาง การสื่อสาร 2 ทาง มีการใช้ Big Data ในการบริหารราชการแผ่นดิน มีการใช้ช่องทางออนไลน์ เพื่อเปิดช่องทางการเข้าถึงรัฐบาลได้ตลอดเวลา เรามีศูนย์ดำรงธรรม ที่รับฟังและแก้ไขปัญหาของประชาชน มากกว่า 2 ล้านเรื่อง ตลอดระยะเวลา 4 ปี และรัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาไปได้ร้อยละ 90 ของปัญหาทั้งหมด ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ได้รับการแก้ไข เราแก้ไขไปมากกว่าล้านกว่าเรื่อง

TIME : นายกรัฐมนตรียังคงยึดมั่นในเรื่องสิทธิมนุษยชนหรือไม่?
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอบว่า ตอนที่ให้ติดตามทั้งหมดมีเรื่องอะไร เรื่องสิทธิมนุษยชน แต่สิทธิมนุษยชนก็ต้องดูว่ามันมี… มันก็เหมือนกัน มันมีคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามจับประเด็นเรื่องนี้มาเพื่อจะสร้างความไม่เข้าใจในเวทีโลกให้กับประเทศไทย คนเหล่านี้ก็รู้อยู่ว่าเป็นคนกลุ่มไหน ผมไม่กล่าวถึง แล้วมันก็มีกลุ่มที่จะเคลื่อนไหวไปพร้อมๆกับกลุ่มเคลื่อนไหวเหล่านี้ ซึ่งจริงๆแล้วเราพยายาม ต้องดูว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนคืออะไร การละเมิดสิทธิมนุษยชนก็คือการที่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเกินเลย ใช้ความรุนแรง มีการซ้อม มีการทรมาน รัฐบาลลงโทษทุกอัน ไม่ให้มีการทำแบบนี้ เพราะฉะนั้นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต้องดูว่าคนเหล่านี้ไปละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้อื่นหรือเปล่า ทำคนอื่นเดือนร้อนไหม ทำการจราจรติดขัดไหม หรือคนที่ต้องการค้าขายทำมาหากิน แล้วพวกนี้ไปละเมิดเขาจนกระทั่งต้องปิดเมือง แล้วผมถามว่าไปละเมิดสิทธิมนุษยชน แล้วกฎหมายอยู่ตรงไหน ท่านคงเข้าใจอยู่แล้วล่ะ…

TIME: ขอถามถึงความเป็นมาก่อนที่ท่านจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ทำไมท่านจึงตัดสินใจเลือกที่จะมารับราชการทหาร?

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอบว่า เพราะว่าอันที่หนึ่งคือ ครอบครัวผมเป็นทหาร ตอนเด็กๆบ้านผมอยู่ในค่ายทหาร ผมเห็นการมีระเบียบวินัย เห็นความเข้มแข็ง ความอดทนของเค้า เห็นถึงความรักชาติ ไปประจำอยู่ชายแดน ไปรบต่างประเทศ ก็นึกในใจไว้ว่าเรามาเป็นทหาร เราต้องเสียสละ เราต้องทำเพื่อสถาบัน สิ่งที่เกิดกับผมมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่นตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้คิดว่าจะเป็น ผบ.ทบ. จะเป็นใหญ่เป็นโต ขอแค่เป็นทหาร นั่นคือความคิดเด็กๆของผมนะ แล้วก็ไม่เคยคิดที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย

TIME: หลังจาก ก.พ.๖๒ ท่านจะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ? หรือจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่?

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอบว่า ผมคิดว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องสถานการณ์ในวันข้างหน้า ว่า เราต้องการสิ่งใด รวมไปถึงการสานต่อการทำงาน ผมยังไม่ได้คิดนอกเหนือจากเรื่องดังกล่าว ซึ่งผมไม่สามารถกำหนดว่าผมจะอยู่ในฐานะใด โดยขึ้นอยู่กับประชาชน และสถานการณ์ในวันข้างหน้า ผมไม่สามารถกำหนดเองได้ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะเป็นเรื่องของประชาธิปไตย รวมถึงการเลือกตั้ง และเป็นสถานการณ์ที่เราไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ซึ่งต้องรอดูต่อไป

พล.อ.ประยุทธ์ ตอบตบท้ายการให้สัมภาษณ์ว่า
สิ่งที่ผมได้ทำไป ผมไม่ได้คิดเอง เพราะได้มีการคิดวิเคราะห์ มีกระบวนการต่างๆ ที่นำไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งน่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพื่อนำประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ในขณะเดียวกัน ด้วยความเข้าใจของคนไทยทุกคนต้องไม่เลือกกฎหมาย ไม่เลือกการบังคับ ซึ่งที่ผ่านมาผมบังคับคนในกองทัพบกรักษาวินัยควบคุมหน่วยทหารมา 40 ปี และเป็นผบ.ทบ. 4 ปี ทำให้ผมเบื่อในการใช้กฎหมาย แต่ก็จำเป็นต้องทำในสถานการณ์ขณะนี้ นอกจากนี้ การปฏิรูปต้องเริ่มจากทุกคน มาจากหัวใจของคนไทยทุกคน

อ่านฉบับเต็มได้ที่ : (ถอดเทป) บทสัมภาษณ์ นายกรัฐมนตรี กับ นิตยสาร Time

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน